วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

โง่ (กว่าควาย) หรือเปล่า

Pia เราจำได้ว่าตอนเช้า เฮียเอา Thumb Drive (เป็นแท่งกลม ๆ)มาเสียบโหลดไฟล์เสร็จแล้วก็เอาออกไป ปกติเราทำงานคอมพ์จะ save file บน desktop ทุกครั้ง และจะเปิดไฟล์จาก Icon บน desktop Pia เข้ามาตอนบ่าย เราทำจนถึงตอนค่ำ Pia save file ลง thumb drive ที่เป็นแบน ๆ ปรากฏว่า ไฟล์ถูก save เข้า thumbdrive ไปทั้งไฟล์ แล้วก็ไม่มีการ save as ลงไฟล์ที่หน้าจอด้วย

คุณหาไฟล์เจอ เพราะคุณโหลดจาก thumbdrive ไม่ใช่โหลดจากหน้าจอ (เราก็ขี้เกียจจะเถียง กับการชักสีหน้าแบบเอือมระอา (ว่าทำไมเราถึงโง่ ไม่รู้เรื่อง ถอนหายใจดัง ๆ Pia ทำอย่างนี้ 2 ครั้ง ครั้งแรกก็เมื่อวันก่อน)Piaยังจะมาว่าเราอีกว่าก็นี่ไง ไฟล์อยู่นี่ไง ไม่ได้หายไปไหน
ก็ยังดีที่ก่อนเธอกลับบ้าน เรายังเห็นว่าไฟล์ไม่มีอยู่บนหน้าจอ เราก็ทำให้เธอดูว่ามันจะหายไปได้ก็ต่อเมื่อมีการ delete เธอก็ยังตะแบงเถียงอีกว่านี่ไง อยู่นี่ไง ก็เธอโหลดจากthumbdrive มันก็ขึ้นให้สิ (ตกลงเธอก็ยังทำหน้าทำตาว่าฉันโง่ ทำไม่เป็น ไม่รู้เรื่องอีกอยู่ดี)สรุปเราก็ต้อง save ใหม่ลงหน้าจอ ไม่งั้นก็คงต้องทำใหม่ทั้งหมด (แต่มันก็ไม่ได้ต่างกัน) เพราะต้องทำงานหลายขั้นตอน งานจะเอาด่วนส่งผู้ใหญ่ ฉันเข้ามารอทุกวัน ก็ไม่ทำให้เสร็จซะที

ไอ้เรื่อง notebook น่ะ มันก็มีความสามารถของมันในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดของหน้าจอ หรือเครื่องมือติดตั้งใน notebook หรือความไม่เคยชินกับการใช้ keyboard ของ notebook กับ pc.ฉันทำไม่ได้หรอก มือมันไม่เคยชินกับ notebook รวมทั้งการเปิด file บน notebook ตอนแรกเปิดไม่ได้ เธอก็ให้ทำบนอะไรน่ะ พวก office org เล็ก ๆ ซึ่งมันเสี่ยงที่จะทำแล้วไปเปิดบน excel 2003 อาจจะเกิดการผิดพลาดได้ ฉันก็ไม่อยากทำ เธอบอกให้กลับบ้านพร้อมกันนี่แหละ ถ้ากลับพร้อมเธอ มันก็ไม่เสร็จหรอก เพราะฉันต้องทำไปเรื่อย ๆ ใช้สมาธิ ใช้เวลา ทำอย่างต่อเนื่อง

นั่งพิมพ์ทั้งคืนก็เท่านั้น เธอก็ทำเป็นพูดดี (แต่จริง ๆ แล้วคือบ่นต่อว่านั้นแหละ) ว่าไม่มีเส้น จะให้มีเส้นได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่ได้ต่อเข้ากับ printer เวลาคลิกแว่นขยาย มันไม่ขึ้นเส้นประ ฉันไม่เห็นขอบเขตของพื้นที่ กะไม่ถูกหรอกว่าจะวางกรอบ textbox ไว้ตรงไหน มันไม่ได้ center สรุปก็ทำฟรี เธอก็ยังว่าอีกไฟล์มันเยอะ ทำเยอะเกินไป ว่าได้ทุกเรื่อง ฉันก็ทำเต็มที่แล้ว

บางทีก็กลับไปคิดถึงคำที่แม่เธอเคยพูดไว้ว่า เดี๋ยวนี้เธอเปลี่ยนไป ดุขึ้น ตอนนั้นเรายังบอกแม่เลยว่า คงเป็นเพราะต้องต่อสู้กับพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรดทั้งหลายกระมัง แต่ตอนนี้ก็เห็นด้วยกับแม่เพราะว่าสิ่งที่คิด พูด ทำ กับคนอื่น มันซึมลึกเข้าไปอยู่ในนิสัย ทำให้ทุกวันนี้ฉันมองว่าเธอก็ไม่ต่างไปจากคนพวกนั้น และที่แย่กว่านั้นคือ พวกคุณพ่อแม่ยังมาทำนิสัยเหล่านี้ให้ลูกเห็น ทำใส่ลูก เธอทำกับฉันทำกับใครไม่ว่า แต่ถ้าทำกับน้อง Poom ฉันก็ไม่ยอม เพราะเขาน่าจะมีนิสัย ความคิดที่ดีกว่านี้ ขอให้พวกคุณพ่อแม่ปรับปรุงด้วย

เช้าวันนั้น เอายาจีนมาให้น้องPoomกิน ถ้วยใหญ่ขนาดนั้น ฉันก็ถ่ายใส่ถ้วยเล็กให้ เธอรู้ไหมว่าหน้าตาเธอมันช่างน่าเกลียดขนาดไหน กับการทำตาโตถมึกทึงใส่ลูก พูดเสียงดังลั่น "กิน กิน กิน" กระแทกกอารมณ์ใส่ลูก น้องPoomเขารู้เรื่องเหรอ เธอก็พูดกระแทกใส่เราอีก (มั้ง)ว่า "อยู่บ้านไม่เห็นเป็นอย่างนี้ มาถึงนี่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้" เสียงดังน่าเกลียดมาก
เราให้น้องPoomกินน้ำ เธอก็ตวาดทำเสียงเขียว ระเบิดอารมณ์อารมณ์เสียส่ายหน้า สุดจะบรรยาย "ไม่ให้กินน้ำ" Poomก็พยายามอธิบาย "ก็อี๊บอกว่าให้กินน้ำได้ ยามันขม" "ก็พ่อใส่น้ำตาลให้แล้วไง" แต่น้ำเสียงดังลั่น ตวาดลูก ไม่สบอารมณ์
ทำอารมณ์เสียปรี๊ดแตก ทำนองว่าทำไมต้องเรื่องมากใส่แก้วเล็ก ได้ท่าทางสะบัดสะบิ้งถือกระเป๋าพูดเสียงดังลั่น "แม่สนใจแล้ว จะทำอะไรทำไปเลย จะทำอะไรทำไปเลย" เธอคงไม่รู้หรอกว่าการใส่อารมณ์กับลูก มันทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่เขาควรที่จะต้องกินยาจีน (ที่เธอพูดกับ First ด้วยเสียงแบบผู้ดี๊ผู้ดีว่า "อ๋อ ยาจีนครับ น้องPoomต้องกินยาจีนบำรุง" แต่พอหันกลับมาพูดกับลูกกลายเป็นเสียงอีกแบบหนึ่ง ฉันไม่เคยเห็นแม่คนไหนเลี้ยงลูกได้ทุเรศ และใช้คำพูดกับอารมณ์ที่น่ารังเกียจเท่าพ่อแม่อย่างพวกคุณเลย) Poomต่อไปโตขึ้น เขาจะซึมซับและเรียนรู้จากพ่อแม่ว่า อ้อ ถ้าฉันจะเอาชนะคนอื่นต้องใช้กำลัง (ตอนนี้พ่อแม่เอาชนะเขาด้วยการตี) ต้องมีอำนาจเหนือคนอื่นด้วยการพูดจากระทบกระแทกแดกดัน ต้องพูดด้วยน้ำเสียงดัง ตวาด คุณอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเพาะนิสัยแย่ ๆ เหล่านี้ให้ลูก มันก็เหมือนกับลูกบอลหรือลูกบาสนั่นแหละ ยิ่งพวกเธอโยนกระแทกอัดเข้าข้างฝาแรงเท่าไหร่ มันก็เด้งกระดอนกลับมาแรงเท่านั้น ฉันก็คิดได้เท่านี้ เพราะฉันไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี ไม่ได้เรียนสูง ไม่ได้มีตำแหน่งสูง ใหญ่โตเหมือนพวกเธอ จะขออะไรเหรอ ฉันไม่ขอหรอก เพราะพวกเธอไม่เคยมีคำว่า "ให้" แม้แต่เวลาที่จะเอาใจใส่ลูก

ฉันไม่รู้ว่าคนที่ทำงานที่เขาได้ยินเขาจะคิดและรู้สึกว่าเธอเป็นคนยังไง แต่ถ้าฉันคิดว่าเป็นพวกที่เขาไม่ชอบเธอ เขาคงนึกในใจว่า "ดีแล้วล่ะ สมน้ำหน้า ให้เธอเลี้ยงลูกอย่างนี้น่ะดีแล้ว โตขึ้นมาจะได้เป็นคนนิสัยแบบพวกเธอ จะได้มีคนเกลียดเยอะๆ" แต่พวกคนที่เลี้ยงลูกอย่าวดี ๆ เขาอาจจะพูดว่า "น่าสงสารน้อง Poom ที่พ่อแม่เลี้ยงอย่างผิดวิธีอย่างนี้ พวกเขารีบกลับบ้านไปให้เวลาลูก ทำกิจกรรมกับลูก ทำให้ครอบครัวมีความสุข เป็นพ่อแม่ที่ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่อนาคตของลูกมากกว่า ไม่ต้องดูอื่นไกล พี่Nooกับjoob เพื่อนรักเพื่อนสนิทของพวกเธอไง เธอดูเขาเลี้ยงลูกเป็นตัวอย่างสิ ดูน้องเขาสิ ฟันขาวสะอาด อารมณ์ดี เขาส่งเสริมให้ลูกรักการอ่าน เล่านิทาน พาไปสถานที่ต่าง ๆ เขาคงได้แต่สงสารน้องPoom และสมเพสพวกเธอ แต่ก็คงไม่กล้าเตือน เพราะพวกเขาก็รู้ว่า พูดไปก็ไม่ฟังหรอก พวกเธอก็ยังคงอวดดี อวดฉลาดคิดว่าฉันน่ะเลี้ยงลูกแบบนี้ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด แถมยังเอาวิธีของพวกเธอไปสอนไปบอกพวกเขาอีก โธ่เอ๊ย..พวกเขาน่ะเลี้ยงลูกดีกว่าเธอไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า Joobยังเคยพูดเลย น้องPoomพัฒนาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันเล่าให้เธอฟัง พวกเธอก็ไม่รู้สึก ไม่สำนึก ไม่ขวนขวายสร้างความสามารถทางสมองให้ลูก คิดแต่เรื่องเดียวคือเรื่องเงิน ประหยัด ๆ ๆ

เธอไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากฉันไม่ต้องเอาอะไรมาให้ฉัน เพราะฉันรู้สึกทุเรศ กับการที่พวกเธอพ่อแม่กินอยู่แบบทุเรศ กับข้าวก็กินอย่างอุ่นแล้วอุ่นอีก (ไอ้พวกสารอาหารมันหมดไม่เหลืออะไรแล้ว) ผักก็ซื้ออย่างที่หมดอายุ เอาถูกไว้ก่อน "กับข้าวเต็มตู้ต้องประหยัดทั้งคนทั้งหมา" ไป ๆ มา ๆ ก็ต้องพูดประชดฉันอีก แต่เวลามีเพื่อนมีแขกมาบ้านหรือไม่เที่ยวที่ไหน ทำหน้าใหญ่ซื้อขนมซื้อของฝาก มาให้ชาวบ้านเต็มไปหมด ถ้าพวกเขารู้ว่าพวกเธอต้องกินอาหารแบบวันหนึ่ง ๆ ไม่เกินวันละ 20 บาทล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่อยากรับของฝากเหล่านั้นเหมือนกัน

ลูกกินอาหารเช้าที่โรงแรม เธอก็ทำพูดพล่ามบ่นนั่นบ่นนี่ "อย่าทำหกนะลูก เดี๋ยวเลอะเทอะของเค้า อย่านั่น อย่านี่" เธอจะพูดทำไป Poomเขาก็เป็นแค่เด็ก พวกเธอไม่เคยฝึกเขา ไม่เคยอยู่ใกล้ชิดค่อย ๆ สอนเขาให้เป็นนิสัย แต่พอออกนอกบ้าน จะให้ลูกเขาทำ ฉันก็ได้แต่ส่ายหัว


เราต้องทำflowchartจากสมุดโทรศัพท์ ขึ้นกรอบหัวข้อไว้ ตามปกติ การสั่งงานให้คนพิมพ์ คุณควรจะต้องเขียน flowchart เป็น paper ที่จะต้องให้คนพิมพ์ พิมพ์ตามไม่ใช่เหรอ เราต้องมานั่งแกะจากที่เขียนไว้ โยงไปโยงมา ยังจะมาว่าพิมพ์ตก พิมพ์ผิด
แล้วมาบอกว่เสียบไว้ตั้งแต่เช้า

"ทำไมไม่ตรวจจากกระดาษ" แต่คุณตรวจจากหน้าจอ(Piaยังพูดด้วยเสียงปกติ แต่เราก็รู้ (ไม่ใช่ไม่รู้) ว่าคุณประชดเหน็บแนม (นั่นคงเป็นนิสัยปกติของคุณ) ถามว่าต้องprintใหม่อีกชุดมั้ย เธอก็พูดทำน้ำเสียงผู้ดี แต่...จำไม่ได้แล้ว (แต่ก็ประชดอยู่ดี)ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ หรือเธอเองก็อาจจะไม่รู้ตัว ไอ้นิสัยชอบเหน็บแนม ประชด ชอบดูถูกคนอื่นว่าโง่ งี่เง่า ไม่ฉลาด ไม่เก่ง (เท่าพวกเธอ)
บอกว่า "ตกตรงนี้" สษุมา หรืออะไรนี่แหละ (เรายืนยันได้ว่าอันนี้เราไม่ได้พิมพ์ตก
เงินทีได้มา 1 พัน ก็โอเค
แต่เราก็ให้เลขที่บัญชีเอาไว้ ไม่ได้หวังว่าคุณจะให้สตางค์เราเพิ่มหรอกนะ..แต่อยากจะบอกว่า คุณก็เก่งออกจะปานนี้ (ทำงบก็ได้ วิเคราะห์งบการเงินก็ได้ ฉันว่าอะไรคุณก็ทำเป็นหมด ยกเว้นเรื่องเลี้ยงลูก ก็เลี้ยงเป็นแบบคนโบราณ เอะอะ..อะไรก็พูดตี ทำอารมณ์สะบัดสะบิ้ง ประชด เหน็บแนม ไอ้คำว่า "ลูกท้าทาย" ท้าทายฉันคิดว่ามันเป็นคำสำหรับพวกที่บ้าอำนาจ คุณเคยพูดไว้ว่า "อย่าให้ลูกมามีอำนาจเหนือพ่อแม่ อย่าให้ลูกมาเอาชนะพ่อแม่" แปลกเนอะ การเลี้ยงลูก เลี้ยงเพื่อสอนให้เขาอยู่ภายใต้อำนาจคำสั่งอย่างเดียว ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ คำว่า "เอาชนะ" แปลว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างเป็นศัตรู ต้องต่อสู้กัน เพื่อไม่ให้ลูกมาชนะ แต่พวกคุณไม่ได้เลี้ยงลูกอย่างเป็นเพื่อน พวกคุณคงไม่มีเวลาจะมาพูดเรื่องเหตุผลกับลูก เพราะว่าพวกคุณมีเหตุผลในแบบของพวกคุณเท่านั้น ฉันก็ไม่กล้าพูดหรอกนะว่าเลี้ยงPoomดีเสียเต็มประดา แต่ก็พยายามดูคนอื่นพ่อแม่สมัยใหม่ที่เขาเลี้ยงกันว่าทำอย่างไรจะให้ลูกฉลาด อารมณ์ดี พูดไปก็คงสีซอให้ควายฟังนะ (หรือบางทีควายอีแขก อาจจจะฉลาดกว่าพวกคุณก็ได้)
พวกคุณพ่อแม่ยังคงยึดวิธีรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ซึ่งเรายึด (แต่ยืดหยุ่น) เรื่อง รักลูกให้เลี้ยงและพูดกับลูกเหมือน โคนันทวิศาล มากกว่า

คงไม่มีอะไรแล้ว คุณเก่งซะขนาดนี้ ตำแหน่ง หน.ส่วน ก็สูงซะขนาดนี้ เราก็ไม่ได้จบปริญญาตรี เหมือนพวกคุณ คงจะโง่เกินกว่าที่จะเป็นเพื่อนคุณได้กระมัง
เรื่อง Tig ไอ้ที่พูดโทรศัพท์ว่า "หนังสือพวกอะไรนะ กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว พ่อแม่ไม่ได้อยู้ค้ำฟ้า ..พวกคุณคงอ่านอยู่ 3 เล่มนี้มั้ง (แถมอ่านแบบไม่กี่บรรทัดก็หลับ ไม่ได้อ่านทุกวัน" หนังสือเลี้ยงลูกดี ๆ เล่มอื่นก็ไม่อ่านหรอก...กลัวเสียเงิน เราไม่อยากจะเตือนว่า สักวันพวกคุณจะเสียใจที่เลี้ยงลูกแบบเลี้ยงควาย ให้ออกไปหากินตามทุ่ง ฉันเชื่อว่าสักวัน พวกคุณจะได้เขียนหนังสือ "กว่าจะถึงมหาวิทยาลัย..ก็สายเสียแล้ว"

วันนั้น Pia พูดอย่างใส่อารมณ์ฉุนเฉียวว่า "Piaทำอะไรให้เราไม่พอใจเหรอ ต้องเคลียร์" "เราไม่มีอะไรจะเคลียร์กับคุณหรอก" เพราะถ้าคุณไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดด้วยการใช้อารมณ์ สั่งสอนลูกด้วยการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่เอาปัจจุบันเป็นตัวกำหนด "ลูกถามว่าทำไมเขาถึงใส่เสื้อเบอร์ 4" ดูละครเกาหลี แต่คุณพูดว่า "ก็อย่างนี้แหละ พวกที่ท้ายทาย" "ทำไมเหรอ Piaจะสั่งสอนลูกอย่างนี้ทำไมเหรอ Poomเค้ารู้ว่าหมายถึงอะไร" เธอแน่ใจเหรอ
แต่ฉันแน่ใจว่า Poomเขาไม่รู้หรอก

เพราะวันนั้นที่โต๊ะทำงาน คุณว่า "รื้อเข้าไป จะเอาอะไรไปให้ใคร ก็เอาไปเลย เอาไปเลย" (บางทีคุณอาจจะไม่สังเกตหรือรู้สึกตัวว่าหน้าตาเหมือนนางยักษ์)
ลูกก็ยกกองกระดาษมาบนโต๊ะ บอกว่า "อี๊ช่วยทำงานให้หน่อย แม่บอกว่า..." ลูกพูดด้วยคำพูดเด็กประสาซื่อ ๆ
เราบอก First ว่า ป้า Pia เขาไม่พอใจ เขาประชดลูก First บอกว่า "นั่นสิ First ก็รู้สึกอย่างนั้น"
คุณคิดเอาเองว่าเด็กโตเขายังรู้สึกได้ แต่คุณเป็นผู้ใหญ่อายุจะใกล้เลข 5 อีกไม่กี่ปี สำรวจตัวเองบ้างนะ อย่าให้คะแนนตัวเองมากเกินไป
บางทีก็รู้สึกแปลกใจ บางทีก็รู้สึกทุเรศ ว่า ทำไม "พวกคุณเวลาพูดกับลูกคนอื่น อย่างนั้นนะคะลูก แต่พูดกับลูกตัวเอง เหมือน (อย่าว่าแต่ไม่ใช่ลูกเลย)คิดเอาเองว่าเหมือนอะไร" พวกคุณเคยสงสัย เคยถามตัวเองมั้ยว่า ที่ลูกเป็นอย่างนี้เพราะพ่อแม่เป็นต้นแบบ (แล้วลูกก็ซึมซับรับเอาอิทธิพลไป) เห็นได้ยินแต่ถามว่าทำไมลูกถึงขี้เกียจ ทำไมลูกถึงไม่เก็บของเล่น ทำไมลูกถึงไม่รักษาของ ทำไมลูกถึงไม่ทำการบ้าน ทำไมลูกถึงไม่ร้องเพลงหน้าเสาธง เราตอบได้เลยว่า เพราะพวกคุณพ่อแม่ไม่เคยทำกับเขา ยกตัวอย่าง (ไม่ใช่พูดเอาดีเข้าตัวฉัน) น้องPoomตอนยังไม่ขวบครึ่ง ทำไมเขาหาสีเทียนไม่เจอ เขาพูดว่า "บั๊ยฉี บั๊ยฉี" เราเองยังฟังไม่ออกเลย บอกลูกว่า "อี๊ไม่เข้าใจว่าลูกหมายความว่าอะไร" น้องPoomไปรื้อตะกร้าของเล่น (ที่เราจะให้น้องPoomช่วยเก็บทุกครั้งก่อนที่จะนอน ก่อนที่จะลงมาข้างล่าง) จนหาสีเทียนแท่งเล็ก ๆ จนเจอ แล้วหยิบเอามาให้เราดู ถึงรู้ว่า อยากจะระบายสี (เลยชวนน้องPoomลงมาหาสมุดระบายสีชั้นล่าง) แล้วPoomก็ชอบระบายสี ถามว่ารูปอะไรเขาตอบได้หมด ให้วาดวงกลม ก็วาดได้ ถามว่า นี่รูปอะไร ตอบได้ ว่า วงกลม ฉี่เหลี่ยม ฉามเหลี่ยม

แปลกเเนอะ แม่ใครเสีย พ่อใครตาย เมียใครออกลูก พวกคุณมีเวลาไปงานศพ ไปเยี่ยมลูกเขาได้ แต่เวลาที่จะพาลูกไปทัศนศึกษา ไปหาประสบการณ์ชีวิต กลับตวาดแว้ด ๆ ใส่เราว่า พวกเขามีเงิน พวกเขามีเวลา แต่พวกคุณไม่มีเวลา มาบ่นว่า ลูกสอบสาธิต มศว.ไม่ติด (ขนาดน้องสาวคุณเตรียมตัวมาเป็นปียังสอบไม่ติด) แล้วนับประสาอะไรกับน้องPoom ที่พวกคุณหันหลังให้ทั้งวัน พ่อก็ไม่รู้เอาเวลาไปทำอะไร จาก 5 โมงเย็นจนถึงกลับบ้าน มาถึงก็ถ้าลูกทำอะไรไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกใจ ก็ว่า "ไม่กลัวถูกตีเหรอ" ฉันเลี้ยงน้องPoomมา ไม่เคยสอนให้ลูกกลัวอะไร ไม่เคยมีเรื่องนางฟ้า เทวดา (แม้แต่คำเดียว) รถดีเซล10 ลูกบอกอยากได้ ถ้าพวกคุณให้ไม่ได้ คุณก็ควรบอกลูกด้วยเหตุผลที่ถูกต้องน่าฟัง แต่แม่กลับพูดเป็นเงื่อนไขว่าถ้าทำอย่างนี้ เดี๋ยวเทวดาจะเอามาให้ลูก (ฉันฟังไม่ได้หรอก จะว่าดัดจริตก็ได้นะ รีบเดินออกไปเลย

ตลกดี พวกคุณมีเวลาช่วยเหลือคนสู้เพื่อคน (ที่เคยทำงานแล้วถูกแกล้งให้ออกจากงานสำเร็จ) ก็ดีนะ...แต่ลูกคุณที่แสนจะฉลาด ความจำดี จิตใจอ่อนโยน รักษาคำพูด เราบอกว่า "Poomอี๊ไม่อยากได้ยินแม่บ่นว่าPoomท้าทาย" ลูกตอบเสียงหลงทันทีว่า "Poomไม่ได้ท้ายทาย Poomไม่ได้ท้าทาย" เลี้ยงลูกใช้คำพูดให้มันสร้างสรรค์หน่อย หนังสือก็ขอเงินพวกคุณไปซื้อมาให้อ่านตั้งเป็นกอง และหนังสือที่พ่อซื้อมาของกรมสุขภาพจิตน่ะ เคยอ่านเคยทำกันบ้างหรือเปล่า ว่าTig นั่งเสิร์ชอินเตอร์เน็ท แต่พวกคุณรู้ไหมว่า น้องWhan น่ะ พอพูดถึงเรื่องการบ้านปุ๊ป รีบไปเปิดกระเป๋าเอามาทำทันที หรือแม้แต่ตอนก่อนนอน ง่วงจะแย่แล้ว เขายังอยากจะทำ ๆ ๆ ให้สำเร็จ ไม่ว่จะต่อ Jigsaw 4 ชิ้น 6 ชิ้น, ฉันไม่รู่ว่าน้องPoomโตขึ้นจะเป็นยังไง

แต่ที่แน่ ๆ อย่าว่าดูถูกลูกเลยนะ ที่พวกคุณพูดน่ะคงจะถูกต้องแน่นอน วัดมะพร้าวเตี้ย วัดพระรามเก้า เข้าได้แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องเซ่นด้วย เรียน Saint Dominic เหรอ , พวกคุณพูด สอนภาษาอังกฤษลูกกี่คำ ถาม First ทำไมว่ายากไหม ถ้าพวกคุณสอนลูก มีเวลาให้ลูกเหมือนที่พ่อแม่สมัยใหม่ ที่ไม่ใช่งกแต่เงิน สะสมแต่สมบัติ กลับมาเล่นคอมพ์เพื่อฝึกสมองคลายเครียดตัวเอง อัพเกรดคอมพ์ แต่ไม่เคยหาความรู้ หาของเล่นพัฒนา ฝึกสมองให้ลูกเล่น และไม่เคยเล่นกับลูก ดูแต่ละครทีวีน้ำเน่า ดูแต่กีฬา แต่ไม่เคยเอาลูกมาดูแบบสอนไปด้วยว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี หัดดูซะบ้างนะ ละครน้ำดีและเนื้อดี "ไฟอมตะ" น่ะ เราพยายามให้ Poom รู้จัก และถ้าเขาโตขี้นถ้าคิด พูด ทำอย่างคุณตาวิกรมได้ เขาจะเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษมาก ๆ เลยทีเดียว...

สุดแท้แต่นะ ฉันไม่สามารถบังคับพวกคุณได้หรอก..พ่ออายุก็เฉียด 50 แล้ว แม่ก็เอาแต่บ้างาน บ้าสมบัติ สั่งงานกระจายงานไม่เป็น เป็นแต่ฮีโร่ "ฉันทำเอง"
คุณตาวิกรมน่ะทำงานอย่างไร คุมลูกน้องอย่างไร ไม่ใช่น้อย ทำไมถึงไม่มีใครแอบว่า แอบด่าลับหลัง ท่านมีเมตตา มีความจริง เคลียร์กับลูกน้องอย่างมีเหตุผล ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง...พวกคุณควรดูควรศึกษาชีวิตของคุณตาวิกรม ทุกวันนี้จริง ๆ พวกคุณก็เป็นคนดีอยู่หรอกนะ แต่คงจะดีกว่านี้ เป็นสุภาพบุรุษกันมากกว่านี้ สำรวจและถามตัวเองนะว่า "ทำไมพวกเขาทำกับเราอย่างนี้ ทำไมทำให้พี่Vichaiมาว่าเราอย่างนี้" ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว...
พูดไปก็อาจจะเหมือนสีซอน่ะ...ไม่ฟังหรอก...เพราะว่าพวกคุณน่ะ แน่ เจ๋ง กว่าคนอื่น ๆ จริง ๆ


อย่างกรณีของTig เขาไปแล้ว มีคนโทรศัพท์มาถามเธอเรื่องTig ก็ยังพูดให้ร้ายเขาอีกในแบบความคิดของเธอ แค่ตอบไม่รู้ก็หมดเรื่อง เธอยังคงมีอคิติกับTig เขาจะใช้เงินอย่างไรมันก็เรื่องของเขา เขาไม่ได้มาขอเงินเธอไม่ใช่เหรอ เธอก็ตวาดใส่ฉันทันที "ก็ใช่ไง ก็ให้มันกินอย่างนั้นทุกวันไง ให้มันกินอย่างนั้นทุกวันสิ" ท่าจะบ้าแล้วมั้ง เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เขาจะต้องมาทำอย่างเธอเหรอ เขาอาจจะไม่มีที่ไม่มีทางไม่มีเงินเก็บเหมือนพวกเธอ แต่ฉันกลับเชื่อว่าครอบครัวของเขามีความสุข พ่อก็ออกจะ family man แม่ก็ตั้งหน้าตั้งตาส่งเสริมสติปัญญาของลูกให้ฉลาด อารมณ์ดี ถึงแม้จะมีบางอย่างที่ฉันไม่เห็นด้วยกับบางเรื่องก็ได้แต่บอกไป เขาจะทำหรือไม่ทำมันก็เรื่องของเขา อย่างกรณีนี้ ลองดูสิลูกน้อง(ที่อยากจะเป็น)มือขวาของเธอ เขาก็ตำแหน่งเงินเดือนก็ไม่เท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ แต่ทำของกินข้างของมาเลี้ยงพวก จย.หรือคนแถวนั้น ฉันไม่เห็นเธอจะว่าอะไรเลย, หรือที่เธอพูดว่า USA เขาไม่มีอะไร เป็นคนพูดอย่างนั้นเอง คนมันปากเป็นอย่างนั้นเอง Tigเป็นคนไม่อดทน แต่ฉันกลับคิดว่า Tigเขามีสิทธิ์ที่จะคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร ก็ได้ เพราะมันมีเหตุกันมาอยู่และรู้นิสัยใจคอกันอยู่ ไอ้เรื่องแกล้งเรื่องงานหรือไม่ฉันไม่รู้นะ Tigอาจจะคิดไปเองก็ได้ การที่เขาไปขอย้ายไปปรึกษาพี่Vichai เขาก็น่าจะทำได้ คนทำงานแล้วไม่สบายใจ เขาย้ายไปก็จบ ส่วนเรื่องงานที่เขายังคงค้างอะไรไว้ เธอก็ตามถามทวงคืนสิ มานั่งใช้อารมณ์ "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ทำกับเราอย่างนี้ ทำให้พี่Vichai มาว่าเราอย่างนี้" อันนี้ไม่รู้นะ พี่Vichai เขาก็ผู้ใหญ่ขนาดนี้ เขาก็ต้องดู มีวิจารณญาณ และรู้จักนิสัยใจคอของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน ฉันก็เชื่อในวิสัยทัศน์ของพี่เขา พี่เขาไม่ได้เป็นหัวหน้าที่ฟังความข้างเดียวหรือใช้อารมณ์ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาของลูกน้องหรอก หรือถ้าจะคิดอีกอย่าง ถ้าเธอทำตัวให้เล็ก คิดให้เล็กสักหน่อย ว่าเธอเองก็เป็นแค่คนธรรมดา ทำไมหัวหน้าจะว่าไม่ได้มันก็จะจบใช่ไหม (หรืออาจจะไม่ใช่เพราะเธอยังมีอีโก้อยู่ดี)

ว่าง ๆ ก็ลองเลือกอ่านดูก็ได้นะ (แต่ฉันว่าเธอคงไม่มีเวลาหรอก เพราะต้องเอาเวลาไปพูดเรื่องคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ได้เรื่อง ทำงานไม่เป็น ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ อย่างเช่นแต้วแล้ว หรือใครต่อใคร ฉันว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเธอ ถ้าผู้ใหญ่เขามองตามที่เสนอมาว่าคุณสมบัติ มันก็เป็นเรื่องของเขา ผลงานและเวลาจะเป็นตัวตัดสินพวกเขาเอง ทำไมเธอจะต้องไปกล่าวโทษตำหนิ พวกเขาด้วยก็ไม่รู้)
copy code แล้วไปวางบนช่อง Google search engine
http://www.google.co.th/search?hl=th&q=ego+%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2&start=10&sa=N

เรื่องการสมัครรับคัดเลือกเป็นกรรมการสหภาพ ฉันมองว่า ขนาดลูกเมียยังไม่มีเวลาที่จะทำให้เขามีความสุข มีสุขภาพที่ดี ยังไม่มีเวลาเลี้ยงลูก คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปทำเพื่อส่วนรวม (กับพนักงานทั้งองค์กร) เขาคงเลือกด้วยหลายเหตุผล คงไม่ได้เลือกเฉพาะคนที่มือไม้อ่อน ไหว้ทุกคนที่เจอเวลาหาเสียง หรือเลือกที่อายุคนหรอก อาจจะเลือกคนที่มีวิสัยทัศน์ มองกว้าง ฉลาด ไม่งมงาย ฯลฯ หรืออาจจะเลือกที่เหตุผลเส้นสาย หรือเลือกคนที่เขาเคยเห็นผลงานว่าเป็นคนดีจริง ทำงานเป็นจริง....

"Piaโวยเฮีย ขนาดเฮียยังกลัวเลย" เธอคิดว่าการทำให้คนกลัวเสียงดังของเธอเป็นสิ่งที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เขาทำกันเหรอ แล้วฉันต้องกลัวด้วยเหรอ เธอต้องทำให้ลูกน้องเห็นแล้วกลัว มากกว่าการที่จะทำให้ลูกน้องรักและทำงานให้ด้วยความจริงใจ ตั้งใจ ไม่นินทาด่าลับหลัง ถ้าเขายังทำกับเธอ (ที่เธอคิด) อย่างนั้นแสดงว่าเธอคงจะยังเป็นคนไม่ดีจริง เพราะถ้าเป็นคนดีจริง ไม่มีเขาว่าหรอก จริงมั้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น