http://www.pholfoodmafia.com
Kaffir Lime Prawn Bread Rolls
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 27 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
พลได้แรงบันดาลใจในการทำเมนูนี้จากหมูสะเต๊ะ ขนมปังหน้ากุ้ง และพวกแกงแดงทั้งหลายที่ใส่ใบมะกรูด ผลลัพธ์ที่ได้คือขนมปังหน้ากุ้งที่มีส่วนผสมของใบมะกรูดซอย ม้วนเป็นแท่งและนำไปทอดจนด้านนอกกรอบ เสิร์ฟกับอาจาดง่ายๆ และซอสแกงแดงที่เนียนนุ่มจากพีนัทบัตเตอร์
ส่วนประกอบ
ขนมปังตัดขอบ 7 - 8 แผ่น
รากผักชี 2 ราก
กระเทียมไทย 4 กลีบ
พริกไทยขาว 15 เม็ด
เนื้อกุ้ง 260 กรัม
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ ½ ช้อนชา
ใบมะกรูดซอย 4 - 5 ใบ
น้ำมันรำข้าวสำหรับทอด
อาจาด
น้ำส้มสายชูกลั่น 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล ½ ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนชา
แตงกวาญี่ปุ่น
แครอท
ซอสพริกแกง
น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ
พริกแกงแดง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ ¼ ช้อนชา
กะทิ 120 มิลลิลิตร
พีนัทบัตเตอร์ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้แหลกดี
ตามด้วยกุ้งสับ ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย และเกลือ
ซอยใบมะกรูดเป็นเส้นเล็กๆ ใส่ลงไปคลุกให้เข้ากันดี
คลึงขนมปังด้วยท่าคลึงแป้งให้เรียบตึง ทาส่วนผสมกุ้งลงไปให้ทั่ว ม้วนเป็นแท่งกลม ใส่ไม้จิ้มฟันกลัดปลายทั้งสองด้าน
ตั้งน้ำมันให้ได้ 160 องศาเซลเซียส
นำขนมปังม้วนกุ้งใบมะกรูดลงไปทอดประมาณ 2 นาที จนด้านในสุกดี และด้านนอกสีสวย ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน
ละลายน้ำส้มสายชู น้ำตาลและเกลือในหม้อ เพื่อทำน้ำอาจาด
หั่นแตงกวาเป็นเต๋าเล็ก (เอาไส้ออก) และซอยแครอทเป็นเส้นๆ ใส่ลงไปในน้ำอาจาด
ทำซอสพริกแกง โดยการผัดน้ำมันกับพริกแกงแดงจนพริกแกงสุกดีและมีกลิ่นหอม ค่อยๆ เติมกะทิลงไปที่ละนิด ถ้าเติมรวดเดียวกะทิจะไม่แตกมัน
เมื่อเติมกะทิหมด ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ และเกลือ
เพิ่มความมันของซอสด้วยการเติมพีนัทบัตเตอร์ลงไป คนให้เข้ากันดี ซอสจะมีความเข้มข้นขึ้น
เสิร์ฟขนมปังม้วนกุ้งใบมะกรูดโดยใช้มีดตัดเป็นท่อนพอดีคำ กับอาจาดและซอสพริกแกง
Fruit Sushi (ซูชิผลไม้)
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 28 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
ข้าวญี่ปุ่นปรุงด้วยมิรินกับกลิ่นส้ม เคล้ากับผิวส้มและช็อคโกแลต 99% มีเป็นไส้ผลไม้ต่างๆ ห่อด้วยสาหร่าย ทานกับซอสช็อคโกแลตและสตรอเบอร์รี่
ส่วนประกอบ
ข้าวญี่ปุ่น 200 มิลลิลิตร
มิริน 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
กลิ่นส้ม ½ ช้อนชา
เกลือ ½ ช้อนชา
ผิวส้ม
Dark Chocolate 99%
มะม่วงสุก ½ ลูก
กีวี 1 ลูก
สตรอเบอร์รี่ 2-3 ลูก
สาหร่าย 2 แผ่น
ซอสช็อคโกแลต
ซอสสตรอเบอร์รี่
วิธีทำ
ทำน้ำปรุงรสข้าวโดยผสมมิริน น้ำตาลทราย และเกลือในถ้วยผสม นำไปเข้าไมโครเวฟให้ส่วนประกอบทุกอย่างละลายดี พักให้เย็น
ล้างข้าวสารญี่ปุ่นให้สะอาด โดยใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ใช้อุ้มมือนวด แล้วล้างน้ำจนสะอาดดี
ใส่ข้าวลงในหม้อ ตามด้วยน้ำสะอาด 220 มิลลิลิตร (ปริมาณน้ำเป็น 110% ของข้าว) แช่ข้าวไว้ในน้ำ 20 นาที
นำหม้อข้าวตั้งไฟ พอเดือดก็ปิดฝา ลดความร้อนลงต่ำ หุงข้าวต่ออีก 12 นาที ปิดไฟ พักข้าวประมาณ 10 นาที
เปิดฝาหม้อ ใส่น้ำปรุงข้าวที่พักเย็นดีแล้วลงไป คนให้เข้ากันดี พักจนข้าวเย็นตัวลง และน้ำปรุงรสซึมเข้าตัวข้าวดี
ขูดผิวส้มลงไปเพื่อเพิ่มความหอมเละสีสันให้กับข้าวเล็กน้อย
ขูดช็อคโกแลต 99% ลงไปด้วย เพื่อให้ข้าวมีรสขมนิดๆ ตัดกับเปรี้ยวหวานของผลไม้
หั่นสตรอเบอร์รี่เป็นแผ่นบางๆ หั่นกีวีและมะม่วงเป็นแท่งๆ
ใส่มือจุ่มน้ำเล็กน้อย จับข้าววางบนแผ่นสาหร่าย เกลี่ยให้บางๆ ทั่วแผ่น เว้นปลายไว้ประมาณ 1 เซนติเมตร
จัดวางผลไม้ที่เตรียมไว้ลงไป ค่อยๆ ม้วนข้าวด้วยเสื่อออกจากตัวเหมือนซูชิทั่วไป พอม้วนสุดก็ดึงข้าวห่อสาหร่ายด้วยเสื่อให้แน่นดี
เอามีดคมๆ จุ่มน้ำ ตัดเป็นคำๆ ขนาดยาวประมาณ 1 นิ้ว
เสิร์ฟกับซอสช็อคโกแล็ด และซอสสตรอเบอร์รี่ หรือจะผสมกันก็ได้
Lemongrass Tea
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 21 มกราคม 2553สูตรโดย: อาจาร์ยศรีสมร คงพันธุ์
ชาตะไคร้ทำได้ง่ายๆ สรรพคุณก็มากมาย ดื่มแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการเมา แก้อาเจียน ลดความดัน และอีกมากมาย ดื่มร้อนหรือเย็นก็ได้ เทคนิคในการทำน้ำตะไคร้ให้ได้สีสวยใส ไม่ยากเลยครับ
ส่วนประกอบ
ตะไคร้ 5 ต้น
น้ำ 1 ลิตร
วิธีทำ
ต้มน้ำด้วยไฟแรง พอเดือดพล่าน ให้นำต้นตะไคร้มาทุบแล้วใส่ลงไปในน้ำทันที (ถ้าทุบไว้ก่อนนานๆ แล้วค่อยใส่ น้ำจะดำ) ลดไฟลงเล็กน้อย
ต้มต่อจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีเหลืองใส จึงกรองกากออก ถ้าต้องการให้หวาน สามารถเติมน้ำตาลได้
หมายเหตุ ถ้านำน้ำตะไคร้มาปรุงรสด้วยน้ำมะนาวเล็กน้อย สีของน้ำตะไคร้จะเปลี่ยนเป็นสีขาวขึ้น ถ้าอยากให้น้ำตะไคร้มีรสเปรี้ยว ก็ลองดูได้
เปาะเปี๊ยะปลาแซลมอนทอด
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 27 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
เนื้อแซลมอนสดปรุงรสง่ายๆ ด้วยเกลือและพริกไทย กับใบชิโสะ (Shiso) ของญี่ปุ่นห่อด้วยแป้งเปาะเปี๊ยะ แล้วนำไปทอดจนเหลืองกรอบ เสิร์ฟกับซอสทาร์ทาร์แบบง่าย แป้งที่พลใช้ห่อมีลักษณะเหมือนแป้งโรตีสายไหม แต่พลเลือกใช้แบบที่เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแช่แข็ง เนื่องจากขนาดของแป้งมีขนาดและหนาเท่ากันทุกแผ่น
ส่วนประกอบ
แป้งเปาะเปี๊ยะ
แซลมอน
เกลือ และพริกไทย
ใบชิโสะ (Shiso)
ไข่แดง
น้ำมันรำข้าวสำหรับทอด
ซอสทาร์ทาร์
มายองเนส 5 ช้อนโต๊ะ
เคเปอร์สับ 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
พาสเลย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ
เกอคินสับ (gherkin) 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
แล่หนังแซลมอนออก หั่นเป็นแท่งสี่เหลี่ยมหนา 1 เซนติเมตร ยาว 4-5 เซนติเมตร โรยเกลือและพริกไทยเล็กน้อย
ตัดแป้งเปาะเปี๊ยะเป็นสี่ส่วนให้ได้ขนาดประมาณ 5*5นิ้ว
หันด้านแหลมของแป้งเข้าหาตัว ให้แป้งอยู่ในลักษณะคล้ายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด วางใบชิโสะลงไปหนึ่งใบ ตามด้วยแซลมอน
ใช้แปรงชุบไข่แดง ทาริมๆ ขอบของแป้งด้านที่อยู่ไกลตัว ม้วนปลาแซลมอนให้แน่น พอครึ่งทางก็เก็บขอบด้านข้าง แล้วม้วนต่อจนสุดตัวแป้ง ทำซ้ำตามจำนวนที่ต้องการ
ตั้งน้ำมันทอดที่ 160 องศาเซลเซียส เอาเปาะเปี๊ยะไปทอดประมาณ 2-3 นาที หรือจนสุกดี และด้านนอกสีเหลืองสวยสะเด็ดน้ำมัน
ผสมส่วนประกอบทั้งหมดของซอสเข้าด้วยกัน เสิร์ฟกับเปาะเปี๊ยะ
Banana Katsu & Orange Chocolate Fondue
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 28 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
กล้วยเล็บมือนางที่นำไปชุบเกล็ดขนมปังกรอบๆ ทอดจนเหลืองสวย ทานกับฟองดูช็อคโกแล็ตที่มีรสส้ม ถ้าชอบรสชาติอื่น ก็สามารถเปลี่ยนรสของช็อคโกแล็ตได้ เช่น ช็อคโกแล็ตรสกาแฟ ช็อคโกแล็ตรสสตรอเบอร์รี่ เป็นต้น
ส่วนประกอบ
กล้วยเล็บมือนาง
แป้งสาลี
ไข่ไก่
แป้งเกล็ดขนมปัง
น้ำมันรำข้าวสำหรับทอด
ช็อคโกแล็ตรสส้ม 50 กรัม
ครีม 100 กรัม
วิธีทำ
ปอกกล้วยเล็บมือนาง คลุกกับแป้งบางๆ เพื่อไม่ให้แป้งหนาไป สามารถร่อนบนตะช้อนรูถี่ๆ เพื่อเคาะส่วนเกินของแป้งอีกทีก็ได้
นำกล้วยชุบไข่ไก่ที่ตีจนละเอียด ก่อนที่จะคลุกบนเกล็ดขนมปังให้ติดดีทั่วๆ
ตั้งน้ำมันที่ 180 องศาเซลเซียส นำกล้วยลงไปทอด ประมาณ 30 วินาที เพียงให้ด้านนอกสีเหลืองสวยก็พอ ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน
นำครีมอุ่นในไมโครเวฟประมาณ 1 นาที สับช็อคโกแล็ตเล็กน้อย ใส่ลงไปในครีมอุ่นๆ พักประมาณ 1 นาที ก่อนที่จะคนให้ละลายเข้ากันดี
เสิร์ฟกล้วยทอดกับช็อคโกแลตฟองดูรสส้ม
Frozen Black Forest
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 13 มกราคม 2553สูตรโดย: พลBlack Forest เป็นเค้กช็อคโกแลตที่นิยมทั่วโลก มีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมันตอนใต้ ส่วนประกอบที่โดยเด่นได้แก่ เค้กช็อคโกแลต ครีม และเชอรี่ พลนำรสชาติของ Black Forest Cake มาปรุงเป็นเครื่องดื่มสนุกๆ สำหรับคนรักช็อคโกแลต
ส่วนประกอบ
แยมเชอรี่ (แบบที่มีเนื้อ) 6 ช้อนโต๊ะ
นม ½ ถ้วย
ไอศกรีมช็อคโกแลต 2-3 Scoops
ซอสช็อคโกแลต 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำแข็ง
วิปปิ้งครีม ตบแต่ง
ลูกเชอรี่ ตบแต่ง
วิธีทำ
ตักแยม 2 ช้อนโต๊ะใส่แก้ว อีก 4 ช้อนโต๊ะใส่โถปั่น
ใส่นม ไอศกรีม ซอสช็อคโกแลต 2 ช้อนโต๊ะและน้ำแข็งเล็กน้อยในโถปั่น ปั่นแล้วเข้ากันดี
เทใส่แก้ว แต่งด้วยวิปปิ้งครีมและซอสช็อคโกแลตอีก 1 ช้อนโต๊ะ
หมี่กรอบทรงเครื่อง
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 21 มกราคม 2553สูตรโดย: อาจาร์ยศรีสมร คงพันธุ์
หมี่กรอบ ของว่างแบบไทยๆ ถ้าทราบเคล็ดลับและเทคนิคในการทำที่ถูกต้องแล้ว ทำไม่ยากเลยครับ ตัวหมี่กรอบ ถ้าทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสม สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่ต้องคลุกกับหน้า หรือจะใส่ในภาชนะสวยๆ เอาไว้ให้เป็นของฝากก็ได้
ส่วนประกอบ
เส้นหมี่ขาวแห้ง 150 กรัม
เต้าหู้เหลือง ½ ก้อน
ไข่ 1 ฟอง
น้ำมันรำข้าว สำหรับทอด
ส่วนประกอบหน้าหมี่กรอบ
กระเทียมสับ ½ ช้อนโต๊ะ
หอมแดงสับ ½ ช้อนโต๊ะ
อกไก่หั่นชิ้นเล็ก ¼ ถ้วย
กุ้งสดหั่นชิ้นเล็ก ¼ ถ้วย
เต้าเจี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ
ส่วนประกอบน้ำปรุงรสหมี่กรอบ
น้ำส้มสายชูกลั่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มซ่า 1 ช้อนโต๊ะ
พริกแห้งเม็ดใหญ่ป่นละเอียด ¼ ช้อนชา
เครื่องโรยหน้าและตบแต่ง
กระเทียมดองหั่นบางๆ ½ ช้อนชา
ผักชีเด็ดเป็นใบ 6 ใบ
ผิวส้มซ่าซอย 1 หยิบมือ
ถั่วงอก 30 กรัม
กุ่ยช่าย 20 กรัม
การเตรียม
แช่เส้นหมี่ในน้ำจนนิ่มดี แล้วผึ่งให้แห้ง (เมื่อใช้มือสัมผัสเส้น ต้องไม่รู้สึกว่ามีน้ำติดมือ)
หั่นเต้าหู้เหลืองเป็นแท่งเล็ก ผึ่งแดดให้แห้ง ประมาณ 4-6 ชั่วโมง
วิธีทำ
ตั้งน้ำมันรำข้าวในกระทะปากกว้าง ให้ได้อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
โรยเส้นหมี่ให้ทั่วๆ บนน้ำมัน ตอนที่เส้นหมี่ลงไปในน้ำมัน จะมีฟองฟู่ เนื่องจากความชื่นที่มีอยู่ในเส้นหมี่ เมื่อ ฟองหมดและน้ำมันนิ่ง ก็ให้กลับด้านเส้นหมี่ ให้สีเหลืองสวยทั้งสองด้านตักออกมาสะเด็ดน้ำมันพักไว้(อย่าลืมว่าเมื่อตักเส้นหมี่ขึ้นจากน้ำมันสีของเส้นหมี่ยังคงพัฒนาต่ออีกเล็กน้อยจากความร้อนที่ยังคงอยู่ในเส้นหมี่)
ใช้น้ำมันเดิมทอดเต้าหู้เหลืองที่ผึ่งแห้งแล้ว ลักษณะของน้ำมันจะเหมือนกับการทอดเส้นหมี่ เมื่อน้ำมันนิ่งแล้ว ก็ คอยให้สีสวย ก็ตักออกมาพักได้เลย
ตอกไข่ใส่ชาม ใช้ส้อมตีให้ไข่แดงและไข่ขาวผสมกันดี สะบัดไข่ใส่น้ำมันที่ร้อนดีโดยใส่ไข่ลงในตะชอนแล้ว สะบัดสูงๆ ให้ไข่ฟูเป็นฝอยๆ เมื่อสีสวยดีก็ตักออกพัก
ทำน้ำปรุงรสหมี่กรอบ โดยผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา และน้ำส้มซ่า ให้เข้ากัน นำไปเคี่ยวด้วยไฟต่ำ ประมาณ 20-30 นาที จนตัวน้ำปรุงมีความหนืดประมาณน้ำผึ้ง ใส่พริกป่นลงไป คนให้เข้ากัน ก่อนยกออกจากความร้อน
ทำหน้าหมี่กรอบโดยตักใช้น้ำมันจากที่ทอดเส้นหมี่ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดกระเทียมและหอมสับจนกลิ่นหอม ใส่เนื้อกุ้งและไก่ลงไป พอสุกดีก็ใส่เต้าเจี้ยวลงไป คนให้เต้าเจี้ยวกระจายทั่วๆ หน้า ผัดจนแห้งลงเล็กน้อยก็นำออกจากความร้อน
ปรุงหมี่กรอบโดยตั้งกระทะปากกว้าง ใช้ไฟต่ำที่สุด ใส่หมี่กรอบที่พักไว้ลงไป ตักน้ำซอสลงไปที่ละช้อน ใช้ไม้พายสองอันเคล้าหมี่เบาๆ ให้น้ำปรุงรสเคลือบทั่วๆ เส้น
ใส่เต้าหู้ทอดที่พักไว้ลงไป เคล้าต่อเล็กน้อย ก็ยกออกจากความร้อน (ถ้าต้องการเอาหมี่กรอบใส่ภาชนะสวยๆ ให้เป็นของฝาก ต้องหยุดที่ขั้นตอนนี้ พักจนเย็นแล้วจึงค่อยใส่ภาชนะที่ต้องการ ภาชนะที่ใช้ต้องสามารถปิดมิดชิด เพื่อคงความกรอบได้นาน)
ตักหมี่กรอบใส่จาน โรยไข่ฝอย หน้าหมี่กรอบ กระเทียมดองซอยบางๆ และผิวส้มซ่าให้ทั่วๆ แต่งหน้าด้วยใบผักชีเสิร์ฟกับถั่วงอกดิบเด็ดหาง และกุ่ยช่ายเป็นเครื่องแนม
Sweet Potato & Chocolate Croquette
ที่มา : พลพรรคนักปรุง 14 มกราคม 2553สูตรโดย : พล
พลลองใช้ Pastry Cream เป็นส่วนประกอบหลัก ใส่ช็อคโกแลตตอนที่ยังร้อนๆ พักให้เย็น แช่แข็ง ปั้นเป็นก้อนๆ แล้วค่อยชุบแป้ง ชุบไข่ และชุบเกล็ดขนมปังทอด ผลลัพธ์ที่ได้คือ Chocolate Croquette ที่กรอบด้านนอกแต่เป็นครีมนุ่มๆ ด้านใน ข้อจำกัดเล็กน้อยของสูตรนี้ คือ การแช่แข็งก่อนนำไปทอด 1 วันล่วงหน้า พลจึงลองดัดแปลงสูตรให้ง่ายมากขึ้น โดยใช้มันเทศบดแทน Pastry Cream เพื่อให้อยู่ตัวได้โดยไม่ต้องแช่เย็น ผลลัพธ์ที่ได้ก็ดีไปอีกแบบ ส่วนประกอบที่ใช้ก็ไม่มีอะไรมาก พลขอตั้งชื่อว่า Sweet Potato & Chocolate Croquette
ส่วนประกอบ
มิลค์ช็อคโกแลต 50 กรัม
มันเทศญี่ปุ่น 200 กรัม
แป้งสาลี
ไข่ไก่
แป้งเกล็ดขนมปัง
น้ำมันรำข้าวสำหรับทอด
วิธีทำ
นำมันเทศไปนึ่งจนสุกดี
วางมันเทศบนผ้าเพื่อไม่ให้ร้อนมือ ปอกผิวออก ใส่ชามผสม ใช้ที่บดมันบดมันเทศให้เนียนดี
สับช็อคโกแลตเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในมันบดที่ยังร้อนอยู่ บดต่อให้เข้ากันดี
พักมันเทศช็อคโกแลตจนเย็นดี ปั้นเป็นก้อนๆ พอดีคำ (พลใช้ที่ตักไอศกรีมลูกเล็กๆ เพื่อให้ได้ขนาดที่เท่ากัน)
เตรียมภาชนะ 3 ใบ ใบหนึ่งใส่แป้ง ใบหนึ่งใส่ไข่ และอีกใบใส่แป้งเกล็ดขนมปัง
นำมันเทศช็อคโกแลตกลิ้งบนแป้งให้ทั่ว ชุบไข่ที่ตีจนเข้ากันดีแล้ว และสุดท้ายจนกลิ้งบนเกล็ดขนมปัง
ตั้งน้ำมันในได้ 180 องศาเซลเซียส นำไปทอดจนสีเหลืองสวย ตักขึ้นพัก สะเด็ดน้ำมัน
หมายเหตุ พลใช้มิลค์ช็อคโกแลตในสูตรนี้ เพราะมิลค์ช็อคโกแลตจะมีส่วนผสมของนมผงและน้ำตาลอยู่แล้ว จึงทำให้ไม่ต้องปรุงเพิ่ม ถ้าต้องการรสชาติหรือเนื้อสัมผัสที่แตกต่าง สามารถใช้มิลค์ช็อคโกแลตที่มีส่วนผสมของถั่ว อย่างแมคคาดาเมีย หรือฮาเซลนัทก็ได้ หรือจะเป็นมิลค์ช็อคโกแลตรสกาแฟ หรือรสส้มก็ได้
Pineapple Ginger Soda
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 6 มกราคม 2553 สูตรโดย: พล
เครื่องดื่มง่ายๆ ใช้เทคนิคการผสมเครื่องดื่มค๊อกเทลมาปรับใช้ ใส่ขิงเพิ่มลงไป ตบท้ายด้วยโซดา หน้าตาดูดี รสชาติอร่อย แถมยังแก้ท้องอืดด้วย
ส่วนประกอบ
สัปปะรด 50 กรัม
ขิง (หั่นแว่น) 4-5 แว่น
น้ำตาลทราย 1-2 ช้อนชา
โซดา
วิธีทำ
หั่นสัปปะรดเป็นชิ้นๆ ใส่ใน Shaker ตามด้วยขิงสด และน้ำตาลตามความชอบ
ใช้ Muddler บดขยี้ส่วนผสมใน Shaker โดยการกดและบิดข้อมือ
นำส่วนบนของ Shaker ประกบกับส่วนล่าง แล้วกรองเฉพาะน้ำของสัปปะรดใส่แก้ว
เติมน้ำแข็งลงไปในแก้ว เทโซดาใส่แก้วจนเต็ม
แต่งด้วยมะนาว หรือใบสะระแหน่ก็ได้ เสิร์ฟทันที
The Perfect Macaroni & Cheese
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 20 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
Macaroni and Cheese อาหารจานเส้นแบบอเมริกันที่เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีส่วนประกอบหลักที่เส้นพาสต้าแบบ Elbow Macaroni อีกส่วนประกอบที่สำคัญก็คือชีส ชีสที่นิยมใช้ต้องมีรสโดดเด่น เช่น Cheddar, Emmental หรือ Gruyere Cheese ก็เป็นที่นิยม ขนมปังป่นที่ใช้โรยหน้าเป็นอีกส่วนที่เพิ่มความกรอบและสีสันที่สวยงามให้กับหน้าของ Macaroni and Cheese เราสามารถทำขนมปังป่นได้เองโดยใช้ขนมปังที่เรามีอยู่ แล้วปรุงรสชาติอีกเล็กน้อย พลใช้เทคนิของการทำอาหารฝรั่งเศสมาปรุงนมให้มีรสชาติที่กลมกล่อมและกลิ่นที่หอมโดยการใช้ Onion Piquet ซึ่งมีส่วนประกอบของหอมใหญ่ กานพูล และใบกระวาน
ส่วนประกอบ
Elbow Macaroni 400 กรัม
แป้งสาลี 3 ช้อนโต๊ะ
เนย ช้อนโต๊ะ + ทาพิมพ์
นม 3 ถ้วย
Onion Piquet:
หัวหอม ¼ ลูก
กานพูล 3 ก้าน
ใบกระวาน 1 ใบ
White Cheddar Cheese 300 กรัม
Emmental 200 กรัม
ขนมปัง 2 แผ่น
Parmesan Cheese ปรุงรส
ลูกจันทน์ป่น พริกไทย เกลือ ปรุงรส
น้ำมันมะกอก Extra Virgin โรยหน้า
วิธีทำ
ทาเนยบางๆ บน Casserole หรือพิมพ์ที่ทนความร้อนได้ ขนาด 7*7 นิ้ว หรือขนาด 2 ลิตร พักไว้
ต้มเส้น Elbow Macaroni ให้ Al Denta (ดูเวลาที่ห่อว่าควรใช้เวลาเท่าไร ให้ใช้น้อยกว่าที่ระบุ ประมาณ 1 นาที เพราะเราต้องนำเส้นไปอบต่ออีก โดยเริ่มจับเวลาตั้งแต่ตอนที่น้ำเดือดดี และใส่เส้น เมื่อถึงเวลา ให้สะเด็ดน้ำ และล้างเส้นด้วยน้ำเย็นเพื่อหยุดความร้อน พักไว้)
ทำ Onion Piquet โดยผ่าหอมใหญ่ออกเป็นขนาด ¼ วางใบกระวานแนบลงไปที่ผิวของหอมใหญ่ แล้วใช้กานพูลปักไว้ให้อยู่ด้วยกัน
ใส่ Onion Piquet ลงในนม ตั้งไฟกลาง พอเดือด ก็ลดไฟต่ำ
ทำ Roux โดยใส่เนยลงในหม้อ ไฟกลาง เมื่อเนยละลายดี ร้อนมีฟอง ก็ใส่แป้งลงไป ใช้ตะก้อตีจนเนียนดี และแป้งสุก ระวังอย่าให้ Roux ไหม้ สีของซอสจะไม่สวย
ตักนมที่อุ่นอยู่กับ Onion Piquet ใส่ลงไปใน Roux ที่ละน้อย ใช้ตะกร้อคนไปด้วย (การอุ่นนมที่ใส่ลงไปในแป้ง Roux ทำให้ตัวซอสเนียน ไม่เป็นลิ่ม) เมื่อใส่นมจนหมด ก็อุ่นซอสต่อเล็กน้อย ใช้ช้อนไม้คน จนได้ระดับของความเข้มข้นที่เมื่อเวลายกช้อนไม้ขึ้นมาจากซอส ซอสจะเคลือบที่หลังช้อนไม้ เมื่อเอานิ้วปาดกลางช้อนไม้ ซอสจะไม่วิ่งไหลเข้าหากัน นั่นคือระดับความเข้มข้นที่ต้องการ (ซอสที่ได้ในขั้นตอนนี้ เราเรียกว่า Bechamel Sauce) ยกหม้อออกจากความร้อน พักไว้
ขูด White Cheddar Cheese กับ Emmental Cheese เคล้าผสมกัน ใส่ ¾ ของชีสลงไปในซอส คนให้ละลายเข้ากันดี ยกกลับตั้งไฟ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ลูกจันทน์ป่น ชิมจนได้รสที่ถูกใจ
นำ Macaroni ที่พักไว้ลงไปคลุกกับชีสซอส ให้เข้ากันดี เทใส่พิมพ์
เอาขนมปังขาว ตัดขอบ ไปปั่นให้ละเอียด ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และลูกจันทน์ป่น
ขูด Parmesan Cheese ลงไปผสมกับขนมปังป่นปรุงรสเล็กน้อย
โรย White Cheddar กับ Emmental ที่เหลือกับขนมปังป่นปรุงรสลงบนหน้า Macaroni พรมด้วย Extra Virgin Olive Oil เล็กน้อย เข้าอบ 35 นาที เสิร์ฟอุ่นๆ
Nutella, Banana Brule and Chocolate Crepe
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 14 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
พลเอานูเทลล่ามาใช้เป็นไส้เครปช็อคโกแลต และผสมกับครีมเล็กน้อยเพื่อเป็นซอสราดตบแต่ง แถมด้วยกล้วยหอมโรยน้ำตาลบางๆ เผาหน้าด้วยไฟให้น้ำตาลละลายเป็นแผ่นบางๆ เคลือบที่ผิวกล้วยหอม
ส่วนประกอบช็อคโกแลตเครป (สำหรับเครป 12-15 แผ่น)
ผงโกโก้สีเข้ม 15 กรัม
แป้งเค้ก 80 กรัม
น้ำตาลทราย 80 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
นมสด 250 มิลลิลิตร
เนย
วิธีทำเครปช็อคโกแลต
ร่อนผงโกโก้กับแป้งในชามผสม
ใส่น้ำตาลทรายลงไป ใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมแห้งให้เข้ากัน
ตอกไข่ และใส่นมลงไปครึ่งหนึ่ง ใช้ตะกร้อตีส่วนประกอบให้เข้ากัน แล้วค่อยๆ ใส่น้ำเพิ่มที่ละนิด
ตั้งกระทะเทฟลอนบนไฟกลาง ใช้แปรงทาเนยเล็กน้อย เพื่อให้เครปมีผิวกรอบและกลิ่นหอม
พอกระทะร้อนดี ก็ตักแป้งเครปลงไป ใช้มือจับด้ามกระทะเอียงไปมาให้เครปบางๆ พอเริ่มสุกดี ก็ใช้ไม้พายกลับด้านเครป จนสุกดีทั้งสองข้าง
ส่วนประกอบนูเทลล่าซอส
นูเทลล่า 1 ช้อนโต๊ะ
ครีม 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำซอส
ตักนูเทลล่าใส่ถ้วยผสม
อุ่นครีมในไมโครเวฟ เทใส่นูเทลล่า คนให้เข้ากัน สีของนูเทลล่าจะขึ้นเงาสวย พร้อมใช้
ส่วนประกอบอื่น
นูเทลล่า
วิปปิ้งครีม
กล้วยหอม
น้ำตาล
ถั่วฮาเซลนัททุบหยาบๆ
วิธีทำ
ฝ่ากล้วยหอมตามทางยาวทั้งเปลือก คว่ำส่วนเนื้อกล้วยลงบนจานใส่น้ำตาล ให้น้ำตาลติดทั่วๆ
ใช้ที่พ่นไฟเผาน้ำตาลให้ละลายเป็นแผ่นบางๆ (ถ้าไม่มี ให้นำเข้าเตาอบใช้โปรแกรมไฟบน)
ทานูเทลล่าบนเครปช็อคโกแลต โรยด้วยถั่วฮาเซลนัทป่นเล็กน้อย พับเป็นทรงสวยงามตามต้องการ
จัดใส่จานพร้อมกล้วย แต่งด้วยวิปปิ้งครีม ราดซอสนูเทลล่า โรยถั่วฮาเซลนัทอีกเล็กน้อย
Mentaiko Spaghetti
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 20 มกราคม 2553สูตรโดย: พล
เมนไทโกะ เป็นไข่ของปลาค๊อทที่นำไปปรุงในรสชาติที่หลากหลาย แต่ที่นิยมที่สุดก็เป็นแบบที่สีแดงๆ ที่มีรสเผ็ด สปาเก็ตตี้เมนไทโกะเป็นอีกรูปแบบของการนำเมนไทโกะมาปรุงกับเส้นพาสต้าแบบอิตาเลี่ยน คนญี่ปุ่นยกให้สปาเก็ตตี้เมนไทโกะเป็นเมนูอาหารค่ำของคนขี้เกียจ ด้วยความง่ายในการปรุงประกอบกับรสชาติที่อร่อยทำให้สปาเก็ตตี้เมนไทโกะอยู่ในเมนูพาสต้าในร้านอาหารของคนญี่ปุ่นเสมอ
ส่วนประกอบ
เส้นสปาเก็ตตี้ 150 กรัม
เนย 2 ช้อนโต๊ะ
เมนไทโกะ 1 พวง
โชยุ 1 ช้อนชา
มายองเนส 2 ช้อนโต๊ะ
ชาคอมบุ ½ ช้อนชา
สาหร่ายญี่ปุ่น โรยหน้า
วิธีทำ
ต้มน้ำในหม้อ ใส่เกลือเล็กน้อย พอเดือด ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงไปต้ม ตามเวลาที่ระบุบนห่อ
ใส่เนยลงในชามขนาดกลาง นำไปอังไว้บริเวณปากหม้อให้เนยละลาย
ตัดถุงภายนอกของเมนไทโกะออก ใช้ช้อนปาดไข่ด้านในผสมกับเนย
ปรุงรสด้วยโชยุ มายองเนส และชาคอมบุ (หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตของญี่ปุ่น ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใส่) คนให้เข้ากัน
พอเส้นสปาเก็ตตี้สุกดีตามเวลาที่กำหนด ก็ยกหม้อออกจากเตา สะเด็ดน้ำทิ้ง
ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ร้อนๆ ลงในชามเมนไทโกะปรุงรส คนให้เข้ากัน
ตักใส่จาน ตัดสาหร่ายเป็นเส้นเล็กๆ ด้วยกรรไกร โรยตบแต่งบนหน้าสปาเก็ตตี้ เสิร์ฟทันที
Chocolate & Banana Bread Pudding
ที่มา : พลพรรคนักปรุง 13 มกราคม 2553สูตรโดย : พล
Bread & Butter Pudding เริ่มต้นจากการเป็นพุดดิ้งสำหรับคนจน โดยใช้ขนมปังเก่าๆ มาแช่น้ำ แช่นมให้นิ่มขึ้น ต่อมาจึงมีการพัฒนาโดยการใส่คัสตาร์ด ผลไม้ และเครื่องเทศต่างๆ อย่างเช่น วานิลา ลูกจันทน์ อบเชย เป็นต้น Chocolate & Banana Bread Pudding เป็นรูปแบบของ Bread & Butter Pudding ที่มีส่วนผสมของช็อคโกแลตและกล้วยหอมด้วย พลเลือกใช้ขนมปังโฮลวีทในสูตรนี้ เพื่อเพิ่มคูณค่าและเนื้อสัมผัส
ส่วนประกอบ
ครีม 250 มิลลิลิตร
นมสด 250 มิลลิลิตร
วานิลา 1 ช้อนชา
อบเชย 2 ก้าน
ไข่แดง 4 ฟอง
น้ำตาลทรายแดง 110 กรัม
ผงโกโก้สีเข้ม 2 ช้อนชา
ดาร์กช็อคโกแลต 180 กรัม
ขนมปังโฮลวีท 1 แถว (480 กรัม)
กล้วยหอม 1 ลูก
เนยทาพิมพ์
วิปปิ้งครีม ตบแต่ง
ซอสช็อคโกแลต ตบแต่ง
วิธีการทำ
ใช้แปรงทาเนยที่พิมพ์อบขนาดประมาณ 7*4 นิ้วหรือขนาดที่ใกล้เคียงกัน พักให้ตู้เย็น
นำครีม นม วานิลา และอบเชยใส่หม้อต้มจนเดือด ยกออกจากความร้อน พักประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ครีมและนมได้ซึมซับกลิ่นของอบเชย
ตัดขอบขนมปังโฮลวีท แล้วตัดขนมปังเป็นชิ้นๆ ขนาดที่วางเข้าพิมพ์ได้สวยงาม จัดวางลงในพิมพ์ที่ทาเนยพักไว้ หั่นกล้วยเป็นแว่นหนาประมาณ ½ เซนติเมตร จัดเรียงแทรกตามขนมปังให้ทั่วๆ
ตีไข่แดง และน้ำตาลด้วยตะกร้อจนเข้ากันดี ร่อนผงโกโก้ลงไป ตีต่อให้เข้ากัน
นำครีมและนมที่พักไว้ไปต้มอีกครั้ง พอเดือด กรองใส่ส่วนผสมไข่ คนให้เข้ากัน
สับช็อคโกแลตเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงไปในคัสตาร์ดขณะที่ยังอุ่นๆ คนให้ละลายดี
เทใส่พิมพ์ขนมปัง พักไว้ประมาณ 30 นาที ให้คัสตาร์ดช็อคโกแลตซึมเข้าสู่ขนมปัง
ตั้งเตาอบที่ 160 องศาเซลเซียส
วางพิมพ์ขนมลงในถาดทนความร้อนที่มีขนาดที่ใหญ่กว่า ต้มน้ำร้อน ใส่น้ำร้อนลงไปในถาดรอบๆ พิมพ์ขนม ให้มีความสูงมากกว่าครึ่งของตัวขนม (การอบพุดดิ้งในน้ำ ช่วยให้พุดดิ้งไม่กระด้าง การต้มน้ำก่อน เพื่อลดเวลาในการอบ)
นำเข้าอบจนสุก ประมาณ 30-35 นาที (เนื้อพุดดิ้งต้องไม่แห้งมากเกินไป เวลาที่พุดดิ้งเย็นจะอยู่ต ัวขึ้นอีกเล็กน้อย) ทิ้งพักให้เย็นตัวลง ตักเสิร์ฟอุ่นๆ รับประทานกับซอสช็อคโกแลตและวิปปิ้งครีม หรือจะแช่เย็น เสิร์ฟเย็นๆ ก็ได้เช่นกัน
Kouhaku Namasu
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 7 มกราคม 2553สูตรโดย: Hiroko Kobayashi
Namasu เป็นอาหารง่ายๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการดองผักที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ กับน้ำส้มสายชู Kouhaku มีความหมายถึง สีแดงและขาว ซึ่งเชื่อว่าเป็นสีมงคล ใช้ในโอกาสเฉลิมฉลอง Kouhaku Namasu จึงเป็นการดองผักสีแดงและขาว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ แครอทและหัวไช้เท้า
ส่วนประกอบ
หัวไช้เท้า 500 กรัม
แครอท 50 กรัม
เกลือ ½ ช้อนชา
ไข่ปลาแซลมอน ตกแต่ง
น้ำส้มสายชูหมัก 100 มิลลิลิตร
น้ำตาล5 ½ ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/6 ช้อนชา
วิธีทำ
ปอกผิวไช้เท้า และแครอท (ไช้เท้าต้องปอกผิวลึกประมาณ 1 มิลลิเมตร เพราะเนื้อที่อยู่บริเวณใกล้ผิวจะมีรสขม) หั่นเป็นท่อนยาว 4 เซนติเมตร หั่นเป็นแผ่นบางๆ และซอยเป็นเส้นอีกที
โรยเกลือครึ่งช้อนชาใส่ไช้เท้าและแครอทที่ซอยแล้ว พักไว้ให้น้ำออกจากผักประมาณ 5 นาที อย่าเร่งโดยการขยำเพราะจะทำให้ผักขม
ล้างผักด้วยน้ำสะอาด ใช้ผ้าขาวบางคลุม แล้วบีบน้ำออกให้แห้ง
ต้มน้ำส้มสายชูหมัก (ส่วนมากในอาหารญี่ปุ่น จะใช้น้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าว มีสีเหลืองอ่อนๆ) กับน้ำตาลและเกลือ พอให้น้ำตาลละลายดี ก็ยกออกจากเตา พักจนเย็นดี
เทน้ำส้มสายชูปรุงรสลงในผัก พัก 5 นาที ตักเสิร์ฟ แต่งหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอน
หมายเหตุ ในสมัยที่น้ำตาลมีราคาแพง คนญี่ปุ่นจะใส่ลูกพลับแห้งซอยเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปผสม เพื่อลดสัดส่วนของน้ำตาล
Chikuzen-ni
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 7 มกราคม 2553สูตรโดย: Hiroko Kobayashi
Chikuzen เป็นชื่อเมืองเก่าเมืองหนึ่งในจังหวัด Fukuoka ส่วนประกอบหลักเป็นผักหัว (root vegetable) เนื่องจากช่วงปีใหม่ของญี่ปุ่นอยู่ช่วงฤดูหนาว ไม่สามารถหาผักใบได้ ในขณะที่ผักหัวจะมีรสชาติดีในฤดูหนาว ในสมัยโบราณที่ยังไม่มีตู้เย็น Chikuzen สามารถเก็บได้โดยนานถึง 3 วัน ปัจจุบัน ถ้าเก็บในตู้เย็น สามารถเก็บไว้ทานได้นานถึงหนึ่งสัปดาห์
ส่วนประกอบหลายๆ อย่างที่ใช้ ก็มีความหมาย อย่างรากบัวเอง รูกลมๆ ตรงรากบัว เวลาที่ส่องมอง เปรียบเหมือนการมองไปข้างหน้า สื่อถึงอนาคตที่ดี หรืออย่างรากไม้ที่เรียกว่า โกโบ้ ซึ่งเป็นรากไม้ที่คนญี่ปุ่นนิยมนำมาปรุงอาหาร มีลักษณะที่แข็ง ก็เป็นการสื่อถึงความแข็งแรงหรือสุขภาพที่ดีนั่นเอง
ส่วนประกอบน้ำซุปดาชิ (สำหรับ 600 มิลลิลิตร)
น้ำสะอาด 700 มิลลิลิตร
สาหร่ายคอมบุ 4 กรัม
ปลาป่น 8 กรัม
วิธีการทำน้ำซุปดาชิ
ทำความสะอาดสาหร่ายคอมบุ โดยการเปิดน้ำเบาๆ ให้ไหลผ่าน แล้วซับให้แห้งด้วยกระดาษทิชชู่ (อย่าล้างมากไป รสชาติของคอมบุจะอ่อนลง)
นำคอมบุใส่หม้อกับน้ำสะอาด ตั้งไฟกลาง
พอน้ำเดือด ให้นำคอมบุออกทันที
ใส่ Katsuobushi ลงไปในน้ำเดือด ยกออกจากความร้อน (ถ้าปล่อยให้น้ำเดือดต่อ ดาชิจะไม่ใส)
ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จน Katsuobushi จมลงที่ก้นหม้อ
กรองดาชิด้วยผ้าขาวบาง จะได้ซุปดาชิประมาณ 600 มิลลิลิตร
ส่วนประกอบ
เห็ดหอมแห้งดอกใหญ่ 8 ดอก
แครอท 300 กรัม
รากบัว 300 กรัม
โกโบ้ (รากไม้) 200 กรัม
คอนยักกุ 1 ก้อน
สะโพกไก่ 2 ชิ้น
ถั่วลันเตา 10 ฝัก
น้ำมันรำข้าว 2-3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 10 ช้อนโต๊ะ
โชยุ (kikoman) 7 ช้อนโต๊ะ
โชยุแบบสีอ่อน (kikoman) 2 ช้อนโต๊ะ
มิริน 6 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชูใช้ในการเตรียม
สาเกใช้ในการเตรียม
เกลือใช้ในการเตรียม
การเตรียมส่วนประกอบ
แช่เห็ดหอมแห้งจนนิ่ม ตัดขาทิ้ง แล้วซอยเป็นเส้นๆ
ปอกแครอท หั่นพอดีคำ
ปอกรากบัว หั่นพอดีคำ แช่ในน้ำส้มสายชู เพื่อไม่ให้สีเปลี่ยน
ทำความสะอาดโกโบ้ โดยใช้หลังมีดขูดเบาๆ ล้างน้ำให้สะอาด หั่นพอดีคำ แช่ในน้ำส้มสายชู เพื่อไม่ให้สีเปลี่ยน
ใช้มือฉีกคอนยักกุให้ได้ขนาดพอดีคำ แล้วนำใส่หม้อ ใส่น้ำเย็น ต้มจนเดือดประมาณ 1 นาทีเพื่อกำจัดกลิ่น สะเด็ดน้ำ พักไว้ (อย่าล้างน้ำเย็น) การใช้มือฉีกทำให้ผิวของคอนยักกุเป็นหยักๆ เวลาที่นำคอนยักกุไปต้ม จะสามารถดูดซึมรสชาติได้ดีขึ้น หั่นสะโพกไก่พอดีคำ โรยสาเกเล็กน้อย ใช้มือนวดเบาๆ เพื่อลดกลิ่นคาว
เด็ดก้านขั้วของถั่วลันเตากับเส้นใยด้านข้างออก ต้มในน้ำเดือดประมาณ 30 วินาที ตักออก แช่น้ำเย็นเพื่อหยุดความร้อน หั่นครึ่ง
วิธีการทำ Chikuzen-ni
ใส่น้ำมันรำข้าว และน้ำมันงาในหม้อ พอร้อนดี เริ่มใส่ผักที่ละอย่าง โดยให้ใส่ผักที่มีเนื้อแข็งก่อน ในกรณีนี้ได้แก่ โกโบ้ แล้วจึงค่อยตามด้วยรากบัก และแครอท
พอน้ำมันเคลือบผักดีแล้ว ก็ใส่ไก่ตามลงไป ผัดให้ด้านนอกพอสุก ก็ใส่น้ำซุปดาชิลงไป
พอเดือด ใส่น้ำตาลลงไป ต้มต่อประมาณ 5 นาที ปรุงรสด้วยโชยุและโชยุสีอ่อน (สาเหตุที่ใช้ผสมกัน เนื่องจากเมนูนี้มีส่วนผสมของโชยุค่อนข้างมาก ถ้าใส่โชยุธรรมดาอย่างเดียว สีจะเข้ม ซึ่งจะส่งผลให้ผักต่างๆ สีเข้มตาม)
วางกระดาษไขบนผิวของอาหาร เพื่อให้สุกทั่วกันและรสชาติสม่ำเสมอ ต้มต่อจนน้ำซุปลดลงเหลือเพียง ¼ ใช้เวลาประมาณ ½ ชั่วโมง
ใส่มิริน เร่งไฟ คนให้เข้ากัน มิรินจะทำให้อาหารสีสวยขึ้นเงา
ใส่ถั่วลันเตา คนให้ทั่ว ยกออกจากเตาทันที พร้อมรับประทาน
แกงเผ็ดเป็ดย่าง
ที่มา: พลพรรคนักปรุง 6 มกราคม 2553 สูตรโดย: อาจาร์ยศรีสมร คงพันธุ์
แกงเผ็ดเป็ดย่างเดิมมีชื่อว่าแกงแดง มีส่วนประกอบของผลไม้อย่างสัปปะรด ซึ่งสัปปะรดที่จะนำมาใช้จะต้องไม่สุกมากเกินไป แกงเผ็ดเป็ดย่าง เหมาะกับการเป็นอาหารปีใหม่ ด้วยรสชาติ สีสัน และการเลือกใช้เนื้อเป็ด ที่ค่อนข้างจะมีราคา พริกแกงที่ใช้ในการปรุงมีลักษณะเฉพาะ ถ้าซื้อจากตลาดให้ซื้อพริกแกงเผ็ด แต่ต้องปรุงรสเพิ่มด้วยลูกจันทน์ป่นและเปราะป่น
เครื่องปรุงพริกแกงเผ็ดเป็ดย่าง
พริกแห้งเม็ดใหญ่ 5 เม็ด (แกะเม็ดออก แช่น้ำจนนุ่ม)
ข่า (หั่นละเอียด) 2 ช้อนชา
ลูกผักชี (คั่ว) 1 ช้อนโต๊ะ
ลูกจันทน์ (คั่ว) ¼ ลูก
ยี่หร่า (คั่ว) 2 ช้อนชา
เปราะ (คั่ว) 1 ช้อนชา
พริกไทยขาวเม็ด (คั่ว) 1 ช้อนชา
หอมแดง (หั่นละเอียด) 3 หัว
กระเทียม (หั่นละเอียด) 7 กลีบ
รากผักชี (หั่นละเอียด) 1 ช้อนชา
ผิวมะกรูด (หั่นละเอียด) 1 ช้อนชา
ตะไคร้ (หั่นละเอียด) 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ ½ ช้อนชา
กะปิ (ห่อใบตองย่างไฟ) 1 ช้อนชา
วิธีการโขลกพริกแกง
เตรียมส่วนประกอบตามจำนวนและวิธีการตามที่ระบุไว้
โขลกเครื่องเทศที่คั่วแล้วทั้งหมดจนป่นดี ตักออกจากครก พักไว้
โขลกพริกแห้งที่แช่น้ำจนนุ่มดีแล้วให้แหลกดี ตามด้วยเกลือ และสมุนไพรต่างๆ โขลกจนแหลก ใส่เครื่องเทศป่นที่พักไว้กลับเข้าไป ตามด้วยกะปิขลกเบาๆ จนเข้ากันดี
จะได้พริกแกงเผ็ดเป็ดย่างประมาณ 120 กรัม
หมายเหตุ ถ้าต้องการประหยัดเวลา สามารถใช้พริกแกงเผ็ด 100 กรัม แต่ให้เพิ่มลูกจันทน์ป่น ½ ช้อนชากับเปราะคั่วป่น 1 ช้อนชา
เครื่องปรุงแกงเผ็ดเป็ดย่าง
เป็ดย่าง 400 กรัม
หางกะทิแบบใส 1 ถ้วย (กะทิกล่อง 1/3 ถ้วย ผสมน้ำ 2/3 ถ้วย)
หัวกะทิ 1 ถ้วย
หางกะทิ 3½ ถ้วย (กะทิกล่อง 1 ¾ ถ้วย ผสมน้ำ 1 ¾ ถ้วย)
น้ำตาลปี๊บ 1½ ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันรำข้าว 3 ช้อนโต๊ะ
สัปปะรด 100 กรัม
มะเขือเทศสีดา 10 ลูก
มะเขือพวง 50 กรัม
น้ำสัปปะรด ½ ถ้วย
ใบโหระพา ½ ถ้วย
ใบมะกรูด 3 ใบ
วิธีการปรุง
หั่นเป็ดย่างหนาประมาณ 2 เซนติเมตร โดยหั่นจากเนื้อลงไปที่หนัง เพราะถ้าหั่นจากหนังลงไปที่เนื้อ หนังอาจจะหลุดจากเนื้อได้
นำหางกะทิแบบใสใส่หม้อตั้งไฟ พอเดือดก็นำเป็ดลงไปต้ม กะทิช่วยให้เนื้อเป็ดนุ่มและดับกลิ่นคาว ต้มประมาณ 3 นาที ก็ตักเป็ดออกมาพัก
ใส่น้ำมันลงในกระทะไฟต่ำถึงกลาง ผัดพริกแกงจนหอมดี แล้วจึงใส่หัวกะทิลงไปทีละนิด ให้กะทิแตกมัน แต่ไม่แยกตัว ใส่เป็ดกลับลงไปผัดกับพริกแกงประมาณ 1 นาที
ใส่หางกะทิประมาณครึ่งหนึ่งลงในหม้อขนาดใหญ่ ตั้งไฟกลาง พอเริ่มเดือด ก็ตักเป็ดกับพริกแกงใส่ลงในหม้อ ใช้หางกะทิที่เหลือล้างกะทิพริกแกงแล้วเทตามลงไป เพื่อไม่ให้เหลือพริกแกงติดตามกระทะ
ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ชิมรส และปรับรสให้กลมกล่อม
ใสสัปปะรด มะเขือพวง และน้ำสัปปะรดลงไป เร่งไฟ ฉีกใบมะกรูดใส่ลงไป ต้มต่อประมาณ 2-3 นาที
หั่นครึ่งมะเขือเทศสีดาตามแนวขวาง (หั่นตามแนวยาวจะเหี่ยวง่าย) เมื่อแกงได้ที่ จึงใส่ลงไปในแกงพร้อมกับใบโหระพา เร่งไฟแรง ประมาณ 30 วินาที ก็ยกออกจากเตา (ถ้าทิ้งไว้นาน มะเขือเทศจะแตก และใบโหระพาจะดำ)
เสิร์ฟกับข้าวสวย หรือขนมจีนก็ได้
หมายเหตุ สัดส่วนของสูตรนี้ได้แกงหม้อใหญ่ๆสำหรับ 8-10 คน
var point_start=0;
var point_stop=1050;
var end_range;
$(document).ready(function(){
end_range=$("#content_wrap").width();
//alert(point_stop);
$("#next").click(function(){
var move = 0;
if(point_stop 0){
if(point_start
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น