ที่มา : สูจิบัตร Bangkok Kid's Leraning Expo'09
เพราะสังคมไทยกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี เนื่องจากจะมีสัดส่วนประชากรในวัยสูงอายุเพิ่มมากขึ้น แต่มีประชากรวัยทำงานและวัยเด็กลดลง ทำให้ลูกหลานต้องรับผิดชอบตัวเองและผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น ดังนั้นหากในอนาคต เด็ก ๆ ของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถไม่มากพอ คุณภาพชีวิตของลูกหลานและคนในสังคมย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมโลกและสังคมรอบตัว ทั้งเทคโนโลยีข่าวสาร วัฒนธรรม การแข่งขันทางความคิดและนวัตกรรมใหม่ ๆ ความปรวนแปรของธรรมชาติ และอีกมากมาย ซึ่งทำให้ลูกหลานของเราตัองเผชิญความท้าทายมากขึ้น
คำถามคือ เราจะพัฒนาและเตรียมพร้อมให้เด็ก ๆ ของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่จะมารับผิดชอบสังคมไทย รวมทั้งยืนหยัดอยู่ในโลกที่ท้าทายอย่างสง่างามและมีความสุขได้อย่างไร
การเรียนรู้คือคำตอบ และเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาให้มนุษย์มีความสมบูรณ์พร้อม และธรรมชาติก็ได้มอบเครื่องมือนี้ให้มนุษย์มาพร้อมแล้วเช่นกัน
มนุษย์ใช้ประสาทสัมผัส ใช้สมองในการเรียนรู้ โดยมีสัญชาตญาณตามธรรมชาติของความสงสัยอยากรู้ เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการสั่งสมความรู้และประสบการณ์
ความอยากรู้ทำให้มนุษย์แสวงหาความรู้ ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสในการ สังเกต สัมผัส และสำรวจ หาข้อมูลป้อนให้สมอง เพื่อเรียนรู้ เพื่อสังเคราะห์ วิเคราะห์ จนกระทั่งสามารถสรุปผลเป็นความรู้สำหรับตนเอง
ความรู้ที่เกิดขึ้นทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้กับตนเอง และสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น เพื่อสร้างและสั่งสมความรู้ความเข้าใจให้มากขึ้น
ทั้งหมดคือสิ่งที่ธรรมชาติให้มาแล้วจริง ๆ อยู่ที่ว่าเราจะใช้งานอย่างเต็มศักยภาพหรือไม่ เพราะหากเราไม่ค่อยได้ใช้งาน ทุกอย่างก็จะเสื่อมสายไปตาม "กฎ" ที่ธรรมชาติกำหนดไว้
ดังนั้นการพัฒนาสิ่งที่ธรรมชาติให้มา ให้มีความสมบูรณ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงมีความสำคัญต่อคุณภาพของการเรียนรู้ และความสามารถของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง
6 KID'S DNAs1. รู้จักรากเหง้าและเห็นคุณค่าตนเอง (Self Conciousness) ว่าเราเป็นใคร มีรากเหง้าความเป็นมาในตัวเอง ครอบครัว ชุมชน เป็นอย่างไร เห็นคุณค่าในตนเอง เพราะทั้งหมดนี้คือพลังยืดโยงคนเราเข้ากับถิ่นฐาน ญาติมิตร จนเกิดความรู้สึกอยากสร้างสิ่งดีงามให้กับสังคมที่ตนเองอยู่ อีกทั้งยังมีภูมิปัญญาจากชุมชนที่สั่งสมมา เอาไว้เป็นต้นทุนและผสานปรับใช้กับภูมิปัญญาระดับสากล
Tip: มาเริ่มต้นด้วยการให้ลูกบอกเล่าเรื่องราวของตนเองและคนใกล้ตัวกัน
2. มีความเป็นคนที่สมบูรณ์ (Humanity) ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เคารพในความแตกต่าง จะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ ลุกลามกลายเป็นการทำลายล้างซึ่งกันและกัน
Tip : ให้วัยคิดส์มีส่วนร่วมรับผิดชอบงานบ้านเล้ก ๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ เรียงรองเท้า เป็นการฝึกการมีน้ำใจกับคนในบ้าน
3. มีจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) โลกอนาคตต้องการมากกว่าความเก่งเพื่อที่จะกล้าคิด กล้าฝันกล้าจินตนาการ และกล้าทดลองสร้างสรรค์สิ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะไม่เหมือนเดิม จึงยิ่งต้องอาศัยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เพื่อแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ
Tip : เปิดโอกาสให้ลูกฝึกคิดและเล่าวิธีแก้ปัญหาหลาย ๆ แบบ จากนั้นคุณค่อยแนะนำหรือบอกเหตุผล
4. อดทน สู้ปัญหา ล้มแล้วลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ (Resilience) ความเปลี่ยนแปลงที่จะกิดขึ้นในอนาคตจะทำให้เราต้องพร้อมปรับตัวยืดหยุ่นและพลิกแพลงเพื่อเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ อยู่เสมอ และแน่นอนว่าความอดทน สู้ปัญหา มองโลกในแง่ดี ล้มแล้วพร้อมที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้อีก ไม่ยอมหนีง่าย ๆ จะทำให้มุนษย์รับมือกับความขัดแย้ง และความท้าทายใหม่ ๆ ได้
Tip : หยิบยกตัวอย่างอุปสรรคที่ลูกเจอ แล้วมารวมทีมคนในบ้าน ร่วมกันวิเคราะห์หรือมองหามุมมติในเรื่องร้ายอย่างสมเหตุสมผล
5. มีเพื่อน มีสังคม (Social Network)"คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย" คำพังเพยนี้ยังไม่เก่าเก็บไปหรอกนะ เพราะมิตรภาพมีความสำคัญทั้งในทางเศรษฐกิจ การทำมาหากิน การอยู่ร่วมกันในสังคม รวมไปถึงการเมืองการปกครอง เพราะมิตรภาพช่วยลดความขัดแย้ง ก่อเกิดความร่วมมือ และทำให้งานบรรลุผลสำเร็จได้
Tip : รู้อย่างนี้แล้ว..อย่าลืมทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องของเจ้าตัวเล็กด้วยนะ
6. เข้าใจและเคารพต่อธรรมชาติ (Respect for Nature) ทุกวันนี้เรากำลังได้รับผลจากการกระทำที่ต้องการเอาชนะธรรมชาติ อากาศแปรปรวน โลกร้อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งที่เราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพียงแค่การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจีงไม่เพียงพอ แต่เราจะต้องเข้าใจและเคารพต่อหลักของธรรมชาติด้วย จึงจะสามารถรักษาโลกใบนีให้เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยและมีความสุขของเราและลูกหลานได้
Tip : ข้อนี้คุณทำได้อยู่แล้วด้วยการเป็นแบบอย่างและสร้างค่านิยมเรื่องนี้ให้ลูก เช่น ทิ้งขยะลงถัง ถอดปลั๊กไฟเมื่อเลิกใช้ ปลูกต้นไม้ประจำตัว เป็นต้น
ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กวัย KIDS
"We are who we are because of what we have learned and remember."
(Eric R.Kandel)จิตแพทย์ชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ปี 2543 จากผลงานวิจัยเรื่อง "การเรียนรู้และความจำ"
ก่อนจะไปสำรวจ 4 เส้นทางการเรียนรู้ เราไปแอบดูธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก ๆ กันหน่อยดีกว่า
เด็ก ๆ เรียนรู้ได้อย่างไรนะ
ธรรมชาติของเซลล์สมองของมนุษย์มีความสามารถในการสร้างรอยเชื่อมต่อ หรือความสามารถในการเรียนรู้ไม่คงที่ เรียกว่า "ความยืดหยุ่น" หรือ "Plasticity" ในช่วงวัยเด็ก เซลล์เหล่านี้จะมีความยืดหยุ่นสูงมาก คือสามารถเรียนรู้ได้เร็ว และค่อย ๆ ลดลงตอนอายุประมาณ 5 ปี และจะเพิ่มอีกครั้งตอนย่างเข้าวัยรุ่นจนถึงอายุประมาณ 30 ปี จากนั้นก็จะค่อย ๆ ลดลงอีก
นี่คือเหตุผลว่า...ทำไมเราจึงต้องใส่ใจกับการเรียนรู้ของเด็กวัยคิดส์เป็นพิเศษ แต่คุณรู้มั้ยว่านอกจากจะเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวสัมผัส เพื่อนำข้อมูลเข้าไปสู่สมองและส่งผลให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ เกิดความรู้ เกิดความจำ ส่งผลต่อพฤติกรรม การใช้ความคิด การใช้เหตุผล การตัดสินใจ อารมณ์และความรู้สึก เด็ก ๆ เขามีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบมากเลยทีเดียว ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้คือ
1. เรียนรู้ด้วยการกระทำ (Constructive Learning, Learning by Doing. Try&Error) Jean Paiget พบว่าเด็ก ๆ ทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยการสำรวจ สัมผัส สังเกตสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว Plaget อธิบายว่าพฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เด็กเกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ได้ตามสภาพความเข้าใจของตัวเอง เช่น ไฟร้อน น้ำตาลหวาน ก้อนหินแข็งและหนัก สำลีนุ่มและเบา เป็นต้น ประสบการณ์เหล่านี้จะถูกสรุป (Construct) เป็นความรู้ด้วยตัวเด็กเอง ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องเหมือนกับผู้ใหญ่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และวัตถุดิบในการเรียนรู้ของตัวเด็กเอง ความอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว คือแรงจูงใจสำคัญของการเรียนรู้แบบนี้และสามารถต่อยอดสร้างความรู้ใหม่ ๆ ด้วยตนเอง รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์"
2. เรียนรู้จากการเลียนแบบ (Imitative Learning) "ลูกไม้ยอมหล่นไม่ไกลต้น" ภาษิตนี้เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ได้แล้ว
Albert Bandura นักจิตวิทยาชาวสหรัฐฯ พบว่าเด็กเลียนแบบนิสัยต่าง ๆ จากผู้ใหญ่ทั้งหลายในสังคม ผู้ใหญ่เป็นอย่างไร สังคมเป็นอย่างไร ย่อมหล่อหลอมเด็กออกมาเป็นแบบนั้น
Vittorio Gallesse และกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยพาร์ม่า ประเะทศอิตาลี ได้ค้นพบเซลล์กระจกเงา (Mirror meuron) ในสมองของลิง ซึ่งต่อมาก็ได้มีการค้นพบเซลล์ชนิดนี้ในสมองคน เซลล์กระจกเงานี้ คือกลไกสำคัญที่ทำหน้าที่เลียนแบบพฤติกรรมต่าง ๆ นั่นคือ นิสัยใจคอ พฤติกรรมการแสดงออกของลูก ย่อมได้รับอิทธิพลมาจากนิสัยใจคอ บุคลิกท่าทางของพ่อแม่นั่นเอง รวมไปถึงทักษะทางภาษา ทักษะและมารยาททางสังคม ทักษะในการดำรงชีวิต ทักษะทางวิชาชี พก็ล้วนเป็นทักษะที่ผู้เรียนจะต้องได้เห็นแบบอย่างก่อน แล้วจดจำมาฝึกฝนด้วยยตนเอง จนเกิดความชำนาทั้งสิ้น
3. การเียนรู้จากการสอนสั่งชี้แนะ (Instructive Learning) ขณะที่ทำการให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองกำลังเป็นเรื่องบูมสุด ๆ แต่การที่มีครูสอนและชี้แนะในแบบที่เราคุ้นเคยกันก็จังจำเป็นอยู่ เพราะความรู้บางอย่างก็ไม่สามารถที่จะสร้างแบบอย่าง (Model) ให้ลอกเลียน หรือให้เด้ก ๆ สร้างความรู้ (Construct) ด้วยตัวเองได้ จึงต้องมีผู้มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ เป็นผู้คอยแนะนำ
ในแต่ละวัน เด็ก ๆ จะใช้การเรียนรู้ในหลายรูแบบพร้อม ๆ กัน เช่น ตอนทำข้าวผัด คุณแม่หรือคุณครูก็จะอธิบขายพร้อมกับสาธิตไปพร้อม ๆ ด้วย (Instructive Learning+Imitative Learning) แต่พอหนู ๆ ได้ลองคลุกเคล้าข้าวผัด แล้วตักชิมก็จะสังเกตและรู้ได้ด้วยตนเองว่า น่าจะเติมรสอีกนิดหรือจับตะหลิวอย่างไรให้ถนัดมือ (Constructive Learning)
เชื่อสิ! เด็กทุกคนมีศักยภาพการเรียนรู้ตามธรรมชาติ (Nature Potentials) ถ้าเคยสังเกตเด็ก ๆ ตอนกำลังเล่นหรือสนุกกับอะไรสักอย่าง คุณก็จะได้คำตอบเรื่องนี้ไม่แพ้ผู้เชี่ยวชาญคนไหน ๆ เลยล่ะ เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่ธรรมชาติได้ให้มาเพื่อการเรีียนรู้อยู่แล้วนั่นคือ สงสัย สังเกต สำรวจ สัมผัส สั่งสม สรุปแล สร้างสรรค์ สือสาร และการพัฒนาให้ศักยภาพเหล่านี้เบ่งบานขึ้น ก็จะช่วยให้คุณภาพในการเรียนรู้ดีขึ้น ตรงกันข้ามหากเราละเลยไม่ใส่ใจ ก็จะค่อย ๆเสื่อมถอยไป เพราะนี่คือกฎของธรรมชาติ "Use it, or loose it"
4. เส้นการการเรียนรู้..สร้างทักษะพ่อแม..สร้างเด็กวัยคิดส์...
เมื่อทราบธรรมชาติการเรียนรู้ของหนู ๆ วัยคิดส์กันแล้ว ก็ได้เวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะจูงมือเจ้าตัวเล็กตะลุย 4 เส้นทางแห่งการเรียนรู้กันแล้ว หรือชวนเพื่อนบ้าน เพือนลูก และคุณครูมาด้วย จะได้ร่่วมเป็นกองหนุนให้เจ้าตัวเล็กเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
1.อ่าน...เพื่อเติมเต็ม
การอ่านช่วยเติมจินตนาการให้กว้างไกล และทำให้พ่อแม่ลูกได้ขยับชิดใกล้กันมากขึ้น และที่สำคัญเราเริ่มส่งเสริมให้ลูกรักการอ่านได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนเลยทีเดียว
ขณะที่คุณอ่านหนังสือหรือเล่านิทานกับลูก สมองน้อย ๆ จะได้รับการกระตุ้นให้พัฒนาทางด้านสติปัญญา ฝึกทักษะการได้ยินและเรียนรู้การใช้ภาษา เกิดการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว นอกจากนี้ หนังสือดีดี ๆ ยังสอดแทรกคุณธรรมม การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาในชีวิตได้ด้วย
Tip :
*เลือกหนังสือให้เหมาะกับวัย เพราะนิทานบางเล่มมีตัวอักษรมากเกินไป ไม่เหมาะกับเด็กวัยเล็กที่สนใจภาพมากกว่า แล้วอย่าลืมเปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกเล่มโปรดของตัวเองด้วยนะ
*ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องตามหนังสือทุกตัวอักษรหรอกนะ คุณและเจ้าตัวเล็กสามารรถช่วยกันแต่งตอนจบ หรือบางช่วงของเรื่องได้ด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
2....เล่นเพื่อเสริมสร้าง
เมื่อลูกเล่น..เซลล์สมองจะทำงานประสานกัน เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกจากนี้การเล่นยังทำให้เด็ก ๆ ได้รู้จักการเข้าสังคม คิดแก้ปัญหา ผ่อนคลายจากความเครียด และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่น่าเสียดายคือเด็ก ๆ ทุกวันนี้ขาดโอกาสที่จะได้เล่นแบบอิสระ เพราะถูกผู้ใหญ่แทรกแซงว่าเขาควรจะเล่นอย่างนี้ เพื่อให้ได้ผลแบบนี้ซึ่งกลับจะเพิ่มความเครียดให้เด็กด้วยซ้ำ
Start Brown จิตแพทย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษาเรื่องการเล่นมากกว่า 42 ปี บอกเอาไว้ว่าแต่และวัน เด็ก ๆ ควรจะได้เล่นอิสระบ้าง (Free Play) จึงจะได้ประโยชน์จากการเล่นเต็มที่ โดยเป็นการเล่นเพราะอยากเล่น ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ในขณะที่เล่นจะต้องรู้สึกสนุกและมีความสุข ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาจนเกินไป ไม่ต้องคอยกังวลกับเรื่องวิธีเล่นว่าจะผิดหรือถูก แต่สามารถรที่จะดีไซน์การเล่นได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญเป็นการเล่นที่ดึงดูดจนไม่อยากให้มีอะไรมากวนใจเลยล่ะ
Tip :
*ปล่อยให้เเด็กได้เล่นตามอิสระบ้าง โดยที่คุณไม่ต้องไปกังวลกับวิธีเล่นของเขา (ถ้าไม่เป็นอันตรายกับตัวเองและผู้อื่น)เช่น ได้สนุกกับการคิดค้นหลากหลายวิธี เล่นสนุกในบ่อทราย
*ทำตัวเป็นเด็กและเล่นสนุกไปกัลูก นอกจากตัวคุณเองจะหายเครียดแล้ว ยังได้มองเห็นการเรียนรู้ของลูก ผ่านการเล่นอย่างใกล้ขิดอีกด้วย
Note : คุณมีวิธีเล่นสนุกกับลูกอย่างไร บอกมาได้เลย ไม่ต้องเขินหรอก....
3. เรียนรู้...ด้วยตนเอง
เราอาจคุ้นเคยกับการเรียนรู้ของเด็กในแบบการถูกสอนสั่ง และมีตัวอย่างให้เด็กเลียนแบบ แต่การเปิดโอกาสให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 และผ่านกระบวนการลงมือทำ จะทำให้เด็กได้ใช้ศักยภาพการเรียนรู้ที่ธรรมชาติให้มาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการคิดของเด็กวัย 2-11 ปี จะอยู่ในชวงก่อนคิดเป็นรูปธรรมและเป็นรูปธรรม หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ได้ดี รวมถึงการคิดเชื่อมโยงไปสู่ความเป็นนามธรรมในช่วงวัยรุ่นได้ดี
Tip : สนับสนุนให้เด็ได้ใช้ศักยภาพ การเรียนรู้ตามธรรมชาติของตัวเอง คือ สงสัย สังกต สังผัสสำรวจ สั่งสม สรุปผล สื่อสาร สร้างสรรค์
Note : จำได้ไหม เรื่องไหนที่ลูกเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบนี้ต้องโขว์กันหน่อยแล้ว
4.ทักษะพ่อแม่...ส่งเสริมลูกเรียนรุ้รอบด้าน
คือทักษะในการเลี้ยงดูลูก เพื่อให้เขาสามารถใช้้่ชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข และไปได้ตลอดรอดฝั่ง สำหรับลูกวัยอนุาลและประถมต้น พ่อแม่ควรให้กำลังใจและสนับสนุนลูกทั้งในด้านของร่างกาย จิตใจสัคม อารมณ์ และมสติปัญญา อีกทั้งพ่อแม่ต้องมีทักษะเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของลูก เช่น ส่งเสริมการอ่านหรือการเล่น เป็นต้น และถ้าเรากำลังจะสร้างเด็ก ๆ ให้เป็นดนดี มีคุณค่าต่อสังคม ผู้ใหญ่รอบตัวเด็กก็จำเป็นต้องมีทักษะพ่อแม่ด้วยเช่นกัน
Tip : ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อที่มีลูกวัยไล่เลี่ยกันดูสิ จะทำให้คุณผ่อนคลายและมั่นใจในทักษะพ่อแม่ของตัวเองมากขึ้น
Note : ทักษะพ่อแม่เรื่องไหนที่คุณภูมิใจสุด ๆ เรื่องนี้ต้องขยาย